ต่อให้เป็นเทวดาก็ยากจะปลุก สเปอร์ส ให้ขึ้นมาคว้าแชมป์ เพราะปัญหา ไม่ได้อยู่ที่อะไรทั้งสิ้น นอกจากสิ่งที่เรียกว่า “ทัศนคติ”

กุนซือใหม่คนไหนที่เพิ่งเดินทางรับงานที่ทอตแนม ฮอตสเปอร์ สเตเดี้ยม จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คือหนึ่งในสโมสรที่ดีที่สุด มีทุกอย่างพร้อม สนามแข่งระดับโลก แม้แต่สนามซ้อมก็ยังสมบูรณ์แบบ มีปัจจัยทุกสิ่งที่สโมสรที่ดีพึงจะมี

เงินก็มี จะซื้อนักเตะคนไหนก็ได้ ชื่อเสียงก็พอมี ดึงนักเตะดีๆ ดึงกุนซือเก่งๆมาร่วมงานได้อยู่เรื่อยๆ

แต่ทำไมสุดท้าย ถึงไม่ไปถึงไหนสักที ?

แน่นอน มันมีหลายเหตุผล แต่เหตุผลหลักคือ “ทัศนคติ” ของนักเตะในทีม ที่ยังไม่มี “หัวใจแชมป์”

ไม่รู้ทำไมถึงปลูกฝังกันยากเย็นนักหนา กุนซือที่เข้ามาแต่ละคน ชื่อชั้นก็ไม่ธรรมดา ทำไมถึงไม่มีใครปลุกเร้า และสร้างจุดนี้ให้นักเตะสเปอร์สได้ ก็ไม่เข้าใจ

ทัศนคติ คือสิ่งที่ทำให้คนแตกต่างกัน คน 2 คน ที่มีทุกอย่างเท่ากัน แต่ทัศนคติไม่เหมือนกัน ผลลัพธ์ในชีวิตจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ไม่ใช่ทุกคนในทีมไก่เดือยทองที่มีทัศนคติเช่นนี้ เพียงแต่คนที่พร้อมสู้ตายถวายชีวิต มีน้อยกว่าคนที่แค่เล่นไปตามหน้าที่ ชนะก็ดี เสมอก็ได้ แพ้ก็ช่างมัน

แม้แต่กุนซือตัวท็อปที่ขึ้นชื่อเรื่อง “แพสชั่น” อย่าง อันโตนิโอ คอนเต ก็อาจจะเอาไม่อยู่ และเขาคงจะเริ่มรู้แล้วว่า ต้นตอปัญหาที่แท้จริงของ สเปอร์ส ที่ทำให้ล้มเหลวมาตลอดหลายปีนั้นอยู่ตรงไหน

ภารกิจปลุกผี (ไก่) ของ คอนเต ครั้งนี้ จึงอาจเป็นงานยากที่สุดในชีวิตการคุมทีมของเขาก็ว่าได้

เพราะมันไม่ได้มีแค่เรื่องในสนาม แต่มีเรื่องนอกสนาม ที่มองไม่เห็น แต่สำคัญที่สุด นั่นคือการเปลี่ยนแปลงความคิด และเปลี่ยนแปลงทัศนคติของนักเตะในทีมด้วย

ช่วงแรกที่ คอนเต เข้ามา นักเตะวิ่งกันเป็นบ้าเป็นหลัง เพื่อโชว์เจ้านายใหม่ ทำให้ผลงานดีขึ้นผิดหูผิดตา สถิติที่ออกมา จากทีมที่วิ่งอันดับที่ 20 ของลีก กลายเป็นทีมที่วิ่งอันดับ 1 ของของลีก บางที คอนเต อาจไม่ได้ทำอะไรเลยก็ได้ แต่วิ่งกันเยอะขึ้นขนาดนี้ ผลงานก็ย่อมดีขึ้นเป็นธรรมดา

ดูยอดทีมสมัยนี้ ต่อให้มีนักเตะเก่งแค่ไหน ถ้าคุณไม่วิ่งแบบเอาเป็นเอาตายก็ไปไม่รอดทั้งนั้น เหตุผลที่ทำให้ทีมเหล่านั้น ประสบความสำเร็จ ข้อแรกเลยคือพวกเขาสู้ตาย พร้อมแลกทุกอย่างเพื่อชัยชนะ แม้เพียงแค่นัดเดียว

นั่นคือสิ่งที่ สเปอร์ส ไม่มี

ตัวอย่างชัดเจนคือเกมเอฟเอ คัพ รอบ 3 กับ มอร์แคมบ์ ทีมระดับลีกวัน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

นักเตะที่ คอนเต เลือกส่งลงสนามในเกมนี้ พูดได้ว่าเป็นชุดที่ 2 สำรองค่อนทีม เพราะคิดว่าเจอทีมระดับดิวิชั่น 3 นักเตะเหล่านี้น่าจะเอาอยู่ ไม่มีปัญหา แม้จะเป็นตัวสำรอง แต่ดีกรีของแต่ละคนก็ไม่ธรรมดา และเหนือกว่า มอร์แคมบ์ ชนิดเทียบกันไม่ได้

แต่เกมออกมาก็อย่างที่เห็น ยังน่าอ่อนอกอ่อนใจเหมือนเดิม หลายคนเล่นไปงั้นๆ แค่ทำตามหน้าที่ให้เกมจบๆไป ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น หรือการต้องการพิสูจน์ตัวเองให้ คอนเต เห็นเลยว่า พวกเขาก็มีดีพอที่จะเป็นตัวจริง

ซึ่งมันก็เป็นเหตุเป็นผลในตัวมันเองว่า ทำไม พวกเขาถึงเป็นได้แค่สำรอง เพราะพวกเขามีแค่นี้ พวกเขาคิดได้แค่นี้ พวกเขาอยากเป็นแค่นี้ ไม่ได้อยากพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ทีมจะเป็นยังไง พวกเขายิ่งไม่ต้องสนใจ

มันจึงไม่แปลกที่นักเตะชื่อ ตองกีย์ เอ็นดอมเบเล จะโดนแฟนบอลตัวเอง โห่ไล่อย่างหนัก ตอนถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม

เพราะนาทีนั้น ทีมเป็นฝ่ายตามหลังอยู่ และเข้าสู่ครึ่งหลังแล้ว แต่เมื่อโดนถอดออก นักเตะคนนี้กลับไม่ยี่หระ เดินเอ้อระเหยลอยชายค่อยๆออกจากสนาม เหมือนไม่แคร์อะไรในโลก เสมือนว่าทีมกำลังนำอยู่อย่างนั้น

นี่คือทัศนคติที่แย่ที่สุดสำหรับการเป็นนักกีฬาอาชีพหรือแม้แต่การเป็นคนที่จะประสบความสำเร็จ เพราะแสดงให้เห็นว่า คุณไม่ได้ทุ่มเทหัวใจให้กับสิ่งที่ทำเลย!!

เกมนี้ สเปอร์ส พลิกสถานการณ์กลับมาเข้ารอบได้ แต่ก็ต้องถึงมือพวกนักเตะตัวจริง ต้องลงมายิงประตูกันในช่วงท้ายเกม และสำคัญอีกอย่างคือนักเตะมอร์แคมบ์ผิดพลาดกันเอง

ไม่อย่างนั้น อาจเกิดเหตุการณ์พลิกล็อก ช็อกโลก แพ้ต่อทีมดิวิชั่น 3 ตกรอบคาบ้านให้ขายขี้หน้า ซึ่งจะว่าไป ก็ต้องบอกว่ามีโชคช่วย เพราะฟอร์มการเล่นไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเหนือกว่าสโมสรที่มีตราสัญลักษณ์เป็น “กุ้ง” อย่าง มอร์แคมบ์ ทีมนี้เลย

ตลาดนักเตะหน้าหนาวที่เปิดอยู่ สเปอร์ส มีข่าวกับนักเตะคนโน้นคนนี้มากมายเป็นปกติ แต่ต่อให้ได้ใครมา หรือไม่ได้ใครมา แฟนไก่คงไม่ต้องตื่นเต้นอะไรมากนักหรอก เพราะเข้ามาก็ใช่ว่าจะช่วยเสกแชมป์ให้กับทีมได้ทันที

สิ่งสำคัญคือการโละพวก “นักเตะขยะ” ที่ความคิดไม่เคยพัฒนา และไม่สมควรจะได้ใส่เสื้อของสโมสร ออกจากทีมไปให้พ้นหูพ้นตามากกว่า.

กัปตันเจมี