ในช่วงที่สถานการณ์โควิด-19 ยังคงน่าเป็นห่วง จำนวนผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้หลายๆ คนจะหาทางป้องกันตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการสวมหน้ากากอนามัย การพกแอลกอฮอล์เจลเพื่อความสะอาดต่างๆ แล้วก็ตาม แต่การเสริมเกราะป้องกันจากภายในเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นเดียวกัน

วันนี้ Healthy Clean พามาดูข้อมูลจาก พญ.วรรณวิภา ทองบริสุทธิ์ แพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัย และฟื้นฟูสุขภาพ โรงพยาบาลสมิติเวช ได้เผยข้อมูลเอาไว้ว่า นอกจากการรับวัคซีนแล้ว เราสามารถเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรงโดยวิธีต่างๆ ได้ ดังนี้

เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้อย่างไรบ้าง?
1.ลดความเครียด
โดยหากิจกรรมทำยามว่างที่ชอบหรือทำสมาธิ เนื่องจากฮอร์โมนความเครียดบางชนิดที่มาจากความเครียดสะสม จะกระตุ้นให้ร่างกายตอบสนองต่อเชื้อโรคต่างๆ ได้น้อยลง

Photo of sleeping young woman lies in bed with eyes closed.

2.นอนหลับให้เพียงพอ
เพราะการนอนหลับที่ดีช่วยให้ร่างกายสร้างสารที่ชื่อว่า ไซโตไคน์ (Cytokines) ที่ช่วยรักษาการอักเสบ การติดเชื้อ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

3.ออกกำลังกายบ้าง หรือขยับตัวทำงานบ้านบ้าง
เพื่อเป็นการเพิ่มการหมุนเวียนของเลือดโดยรวม และทำให้เซลล์ในร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น เม็ดเลือดขาวแข็งแรงและเพิ่มจำนวนได้ อีกทั้งทำให้สมองสร้างโกรทฮอร์โมนซึ่งเป็นตัวส่งเสริมการสร้างเม็ดเลือดขาวบางชนิด ที่ช่วยต่อต้านเชื้อไวรัสและสิ่งแปลกปลอมได้

4.กินอาหารให้สมดุล และเพิ่มอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
-พยายามทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
-เลือกกินอาหารที่ปล่อยพลังงานช้าและมีเส้นใยปรับสมดุลการขับถ่าย เช่น ข้าวไม่ขัดสี ธัญพืช ผลไม้อย่างฝรั่ง แอปเปิ้ล ไปในบางมื้อเพื่อไม่ให้หิวง่ายและระบบขับถ่ายเป็นปกติ
-ทานผักผลไม้หลากสี คละกันไป เพราะแต่ละชนิดมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีแตกต่างกัน
-หลีกเลี่ยงอาหารผ่านการแปรรูป เช่น แฮม เบคอน ไส้กรอก แหนม และอาหารปิ้งย่างเขม่าดำ
-หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลม
-หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

Indoor photo of blissful woman eating apple. Brunette fitness girl enjoying fruits.

5.อาหารเสริมเพิ่มภูมิต้านทาน
สำหรับผู้ที่กังวลว่าจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอหรือต้องการเสริมภูมิต้านทาน
-วิตามินซี ขนาด 500-2,000 มิลลิกรัมต่อวัน เนื่องจากวิตามินซี ช่วยการทำงานของเม็ดเลือดขาวและช่วยกระบวนการทำลายเชื้อโรค ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้ง เนื่องจากขนาดปกติที่ควรได้รับตามความต้องการต่อวันในคนสุขภาพดีนั้นแตกต่างกันออกไป เช่น ในเด็กอายุ 1-8 ปี ควรได้รับ 25-40 มิลลิกรัมต่อวัน ในเด็กและวัยรุ่นช่วงอายุ 9-18 ปี ควรได้รับ 60-100 มิลลิกรัมต่อวัน และวัยผู้ใหญ่ อายุตั้งแต่ 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับ 85-100 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งสามารถได้จากอาหารและผลไม้ทั่วไป เช่น ฝรั่ง ส้ม เชอร์รี่ เบอร์รี่ต่างๆ กีวี มะขามป้อม พริกหวาน บรอกโคลี ผักคะน้า ผักปวยเล้ง เป็นต้น
-วิตามินดี ไม่เพียงแค่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย แต่ยังเป็นวิตามินที่มีบทบาทกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาวโมโนไซต์และมาโครฟาจซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่สำคัญในการช่วยลดการอักเสบ ต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่ปกติแล้วเราสามารถรับวิตามินดี ได้จากปลาต่างๆ นม ไข่แดง ชีส ตับปลา ตับสัตว์ เห็ด ทั้งนี้การรับประทานเสริมควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรในขนาดที่เหมาะสมในแต่ละคน
-สังกะสี นอกจากดูแลสุขภาพผิวพรรณ ผม ขน เล็บ และระบบสืบพันธุ์แล้ว ยังมีส่วนกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวหลายชนิด ปกติแล้วในอาหารที่อุดมด้วยสังกะสี เช่น หอยนางรม เนื้อสัตว์และเครื่องใน สัตว์ปีก ปลา ไข่ นม เมล็ดฟักทอง ธัญพืชต่างๆ การรับประทานเสริมในผู้ที่สุขภาพดี แนะนำ 15-45 มิลลิกรัมต่อวัน ในขนาดที่สูงกว่านี้ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
-กรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งปกติแล้วจะช่วยเสริมสร้างเซลล์ประสาทในสมอง จอประสาทตา เสริมสร้างการทำงานของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ลดการอักเสบซ่อนเร้นที่เกิดจากความเครียด ยังมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาว ซึ่งปกติเราสามารถได้รับจากแหล่งอาหารที่มีโอเมก้า 3 สูง ได้แก่ ปลาและอาหารทะเล น้ำมันปลา ถั่วต่างๆ น้ำมันพืช เป็นต้น ส่วนในอาหารเสริมสำหรับผู้ที่มีสุขภาพดีแนะนำให้รับประทาน 500-1,500 มิลลิกรัมต่อวัน

6.การใช้อาหารเสริมแบบเฉพาะบุคคล
ซึ่งจำเป็นต้องตรวจสุขภาพร่างกายภายในเพื่อค้นหาว่าวิตามินหรือแร่ธาตุตัวใดที่เรากำลังขาด แพทย์จะได้เสริมด้วยอาหารหรือวิตามินชนิดนั้นๆ แบบตรงจุด

7.การให้วิตามินบำบัดทางหลอดเลือด
ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที และช่วยป้องกันการติดเชื้อพร้อมเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน อีกทั้งยังช่วยผ่อนคลายความเครียด และฟื้นฟูร่างกายและผิวพรรณให้สดชื่น ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30-40 นาทีต่อครั้ง

การตรวจสุขภาพที่เกี่ยวกับภูมิต้านทานในปัจจุบัน
-การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด เพื่อหาความผิดปกติของส่วนประกอบในเลือด ซึ่งได้แก่ เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง เกล็ดเลือด เพื่อให้แพทย์ประเมินภาวะที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันของร่างกาย
-การตรวจวัดระดับวิตามินดีในร่างกาย เนื่องจากวิตามินดีมีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

ทั้งนี้ หากตรวจแล้วระดับพบว่ามีความเสี่ยงที่ภูมิต้านทานจะต่ำ แพทย์จะแนะนำการดูแลตัวเองให้มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงด้วยวิธีต่างๆ แบบเฉพาะ ทั้งการปรับไลฟ์สไตล์ การบริโภคอาหาร การออกกำลังกาย เพื่อลดความเสี่ยงรุนแรงเมื่อเกิดการเจ็บป่วย..

………………………………………….
คอลัมน์ : Healthy Clean
โดย “พรรณรวี พิศาภาคย์”