เชื่อว่าเมื่อต้องถึงเวลาขับรถ หลายๆคนคงจะเคยได้ยิน “หม้อน้ำ” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์สำคัญของรถยนต์กันมาบ้าง แต่เคยทราบกันหรือไม่ว่า อันที่่จริงแล้วทำหน้าที่อะไร และเมื่อเจอปัญหา “หม้อน้ำร้อน” ควรทำอย่างไร? วันนี้ “รู้ก่อนเหยียบ” มีคำตอบมาฝากกันครับ

“หม้อน้ำ (Radiator)” คือ อุปกรณ์ระบายความร้อน ของเครื่องยนต์ อาศัยปั๊มน้ำเป็นตัวหมุนเวียนน้ำ โดยจะรับน้ำร้อนมาจากเสื้อและฝาสูบเข้ามาสู่ด้านบนของหม้อน้ำ ก่อนจะไหลไปตามท่อลักษณะแบนเล็กที่เชื่อมติดกับรังผึ้ง (ครีบระบายความร้อน) ทำจากวัสดุที่มีคุณสมบัติถ่ายเทความร้อนได้ดีและรวดเร็ว เมื่อน้ำร้อนเหล่านี้ เคลื่อนตัวสู่ด้านล่าง ก็จะถ่ายเทความร้อนออกไปให้รังผึ้ง ขณะเดียวกันเมื่อมีลมปะทะจากภายนอก หรือพัดลมหม้อน้ำทำงาน ความร้อนที่รังผึ้งก็จะถูกระบายสู่อากาศ ให้เครื่องยนต์อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะกับการทำงานระหว่าง 85-92 องศาเซลเซียส โดยจะมีวาวล์น้ำเป็นตัวเปิดปิดเพื่อรักษาอุณหภูมิร่วมด้วย

ข้อปฏิบัติการดูแลรักษาหม้อน้ำ
-ให้เติมน้ำที่สะอาดลงไปในหม้อน้ำเท่านั้น เพื่อป้องกันมิให้หม้อน้ำ หรือทางเดินของหลอดรังผึ้งหม้อน้ำเกิดการอุดตัน ถ้าเป็นไปได้ น้ำที่เราใช้ดื่มดีที่สุดสำหรับใช้เติมหม้อน้ำ และควรถ่ายน้ำในหม้อน้ำทิ้งทุก ๆ 4-6 เดือน หรือเมื่อเห็นว่าน้ำในหม้อน้ำสกปรกมากแล้ว เช่น มีสนิมหรือคราบน้ำมัน
-ควรตรวจดูระดับน้ำทุกๆ ครั้งก่อนสตาร์ตเครื่องยนต์ หรืออย่างน้อยทุกๆ 2-3 วัน สำหรับรถที่มีอายุเกิน 5 ปี และอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง สำหรับรถใหม่อายุไม่เกิน 5 ปี ซึ่งปรกติระดับน้ำควรอยู่ตรงคอหม้อน้ำพอดี หรืออยู่ระหว่างกึ่งกลางขีด MAX และ MIN สำหรับรถที่มีหม้อพักน้ำหมั่นตรวจดูรอยรั่วตามที่จุดต่าง ๆ อย่างเช่น ท่อยางหม้อน้ำ ครีบรังผึ้ง ปั๊มน้ำ ฯลฯ หากพบรอยรั่วซึม ควรทำการซ่อมแซมแก้ไขทันที
-ตรวจดูสายพานหน้าเครื่อง ไม่ควรให้หย่อนหรือตึงเกินไป ตามปรกติเมื่อใช้มือกดลงบนสายพาน ควรยุบตัวลงประมาณ ½-1 นิ้ว ตรวจดูครีบรังผึ้ง ของหม้อน้ำ อย่าให้พับงอปิดช่องทางผ่านของลม ไม่ควรให้สกปรกด้วยดินโคลนและคราบน้ำมัน เพราะจะทำให้ระบายความร้อนได้ยาก เครื่องยนต์อาจร้อนจัด และหากครีบพับงอ ให้ใช้ใบเลื่อยหรือโลหะบาง ๆ ดัดให้ตรง หรือถ้าครีบสกปรกมากให้ทำความสะอาดโดยใช้ลมเป่า หรือน้ำร้อนที่มีความดันสูงพอพ่นย้อนทิศทางลมเข้า
-พัดลมระบายความร้อนควรอยู่ในสภาพที่ดี ไม่แตกหัก หรือบิดงอเสียศูนย์ เพราะจะทำให้ปั๊มน้ำชำรุดได้ แต่ถ้าเป็นพัดลมไฟฟ้า ต้องคอยตรวจเช็กว่าพัดลมหมุนด้วยความเร็วเท่าเดิมหรือไม่ เพราะถ้าพัดลมหมุนด้วยรอบที่ช้าลง การระบายความร้อนให้หม้อน้ำรถยนต์ก็จะด้อยตามไปด้วย
-ไม่ควรติดเครื่องยนต์โดยไม่ได้ปิดฝาหม้อน้ำเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดตะกรันในหม้อน้ำและภายในเครื่องยนต์ เนื่องจากน้ำในรังผึ้งหม้อน้ำระเหยออกมา เมื่อเกิดตะกรันในหม้อน้ำ หรือบริเวณท่อทางเดินน้ำในเครื่องยนต์มาก ๆ จะเป็นผลให้เครื่องยนต์ร้อนจัด เพราะการระบายความร้อนไม่ดีพอ หมั่นดูแลเกจวัดความร้อนต้องอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ หากเสียใช้การไม่ได้ให้เปลี่ยนใหม่ทันที

เทคนิคเมื่อเจอ “หม้อน้ำแห้ง”
-เมื่อจอดเสร็จแล้ว ให้รีบเปิดฝากระโปรงหน้ารถ เพื่อช่วยระบายความร้อนออกจากห้องเครื่องให้เร็วขึ้น
-รอจนเครื่องยนต์เย็นลง จึงค่อยเปิดฝาหม้อน้ำ โดยใช้ผ้าช่วยจับเพราะอาจจะยังร้อนอยู่บ้าง หรือสวมถุงมือ ที่สำคัญอย่าเอาหน้าเราเข้าไปใกล้หม้อน้ำ เพราะแรงดันน้ำใน หม้อน้ำ ที่น้ำยังอาจจะร้อนอยู่นั้น อาจพุ่งขึ้นมาโดนหน้าเราจนได้รับบาดเจ็บได้
-เติมน้ำทีละน้อยๆอย่างช้าๆ โดยทิ้งช่วงเวลาห่างกัน 5 นาที ในเวลาเดียวกันคอยสังเกตุดูระดับน้ำในหม้อน้ำ หากน้ำที่เติมลงไปแล้วไม่เต็ม อีกทั้งใต้รถมีน้ำไหลไหลรั่วออกมาหมด สันนิษฐานเลยว่า หม้อน้ำแตก ให้แจ้งอู่ซ่อมรถได้เลย เพราะเราคงจะทำอะไรเองไม่ได้แล้ว
-หากน้ำรั่วซึมเพียงเล็กน้อย ก็ยังสามารถขับรถต่อไปได้แต่อย่าขับเร็ว ให้หมั่นสังเกตเข็มวัดอุณหภูมิบนหน้าปัดรถ และเมื่อความร้อนขึ้นสูงให้หยุดรถเป็นระยะๆ แล้วทำแบบ เดิมๆ จนกว่าถึงจุดหมายปลายทางและนำรถไปซ่อมหม้อน้ำ หรือแก้ไขต่อไป

ทั้งนี้ หากปฏิบัติตามเทคนิคทั้งหมดข้างต้น ก็จะช่วยยืดอายุ “หม้อน้ำรถยนต์” ของท่านให้สุขภาพดี ใช้งานไปได้อีกนานอย่างแน่นอนครับ…

…………………………….
คอลัมน์ : รู้ก่อนเหยียบ 
โดย “ช่างเอก”
ติดต่อสอบถามข้อมูลโดยตรงที่ [email protected]