กลับมาว่ากันต่อเรื่องพรรคคอมมิวนิสต์จีนกันครับ ปีนี้ครบรอบ 100 ปีก่อตั้งพรรค ติดตามตอนแรกได้ที่นี่ https://www.dailynews.co.th/articles/23060/ ส่วนอาทิตย์ก่อนผมจัดหนักเรื่องการแก้ปัญหาโควิด-19 ของรัฐบาลไทยไป https://www.dailynews.co.th/articles/50723/ ก็ติดตามอ่านกันได้นะครับ

ภายหลัง การถึงแก่มรณกรรม ของ เหมา เจ๋อตุง พรรคคอมมิวนิสต์จีนเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง คราวนี้ เติ้ง เสี่ยวผิงกลับมามีอำนาจเป็นผู้นำรุ่นที่ 2 ต่อจากเหมาสำเร็จ โดยทำการยึดอำนาจภายในพรรค ทำลายแก๊งสี่คนที่มีมาดามเจียง ชิง ภรรยาคนที่ 3 ของเหมา ซึ่งสร้างความปั่นป่วนกับการปฏิวัติวัฒนธรรมไปได้

เติ้งแกมาพร้อมวิสัยทัศน์ใหม่ครับ เปิดเศรษฐกิจประเทศให้เสรีมากขึ้น เมืองท่าแถบฝั่งตะวันออกจะรับนโยบายทุนนิยมมาก่อน ตามหลักแนวคิด 4 ทันสมัย ที่เราคงเคยได้ยินเรื่องแมวจะสีไหน ไม่สำคัญ จับหนูได้เป็นพอ มาจากเติ้งนี่แหละครับ ระบอบไหนไม่สำคัญของเศรษฐกิจรุ่งเรืองเป็นพอ ด้วยขนาดของเศรษฐกิจจีนที่ใหญ่มหาศาล และมีแรงงานจำนวนมาก มันดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้าไปในช่วงระบบเศรษฐกิจจีนเปิดใหม่ ๆ ผลก็คือความเหลื่อมล้ำพุ่งสูงขึ้นมาก เพราะมันมีคนรวยก่อนใครเพื่อน และเป็นการรวยแบบมหาศาลด้วย

แม้ระบบเศรษฐกิจจะเปิดเต็มที่ แต่ระบบการเมืองปิดนะครับ คนจีนมีเงินมากขึ้น ก็เริ่มเห็นว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนนี่มันมีปัญหาเพราะ มีการคอร์รัปชั่น ควบคุมอำนาจจำนวนมาก เพราะระบบเศรษฐกิจเปิดถึงจุดหนึ่ง คนจำนวนมาก็เห็นว่า ระบบการเมืองควรจะเปิดด้วยสิ อันนี้ เติ้ง เสี่ยวผิง ยอมรับไม่ได้เด็ดขาด

ทีนี้เมื่อ นักศึกษาจำนวนมากออกมาเรียกร้องให้ปฏิรูประบบการเมืองที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเมื่อปี 1989 นั้น ผู้นำพรรคสายก้าวหน้าก็สนับสนุนเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นในประวัติศาสตร์ แถมพวกผู้นำสายนี้ก็คือมือทำงานให้กับ เติ้ง เสี่ยวผิง ทั้งนั้น แต่ทางฝ่ายอนุรักษนิยมในพรรคไม่ปลื้มครับ และได้เข้าพูดกับเติ้ง ยืนยันว่า ถ้ายอมให้ปฏิรูประบบการเมืองได้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนพังแน่

เติ้งนั้นอาจจะดูหัวก้าวหน้าในหลายเรื่อง แต่เรื่องการเมืองเขาไม่ยอม จะไม่มีการปฏิรูปใด ๆ ทั้งสิ้น ว่าแล้วเหล่าผู้นำพรรคสายปฏิรูปก็โดนปลด และถูกแทนที่ด้วยฝ่ายอนุรักษนิยมที่ต้องการความเด็ดขาด เติ้ง เสี่ยวผิง ถึงขั้น สั่งกองทัพออกมาลุยล้อมปราบยิงประชาชน เลย เกร็ดข้อมูลเล็กน้อยก็คือ ก่อนหน้าจะมีการล้อมปราบ เหล่านายพลจีนต่างเขียนจดหมายอ้อนวอน เติ้งว่า อย่าเรียกทหารไปยิงคนในประเทศ แถมคนที่ต้องฆ่าก็เป็นนักศึกษาคนหนุ่มสาวความหวังของประเทศ พวกเขาไม่อยากทำ และไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง

สถานการณ์ตอนนั้นดูเหมือนกองทัพจะแข็งข้อต่อผู้นำอย่างเติ้ง แต่ สุดท้ายเติ้งก็ทุบโต๊ะให้ล้อมปราบ เหล่านายพลก็ส่งทหารตัวเองไปยิงคนในประเทศเป็นเรื่องอื้อฉาวโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของจีนอย่างยิ่ง และเรื่องนี้ก็ทางพรรคก็ห้ามใครพูดถึงเหตุการณ์นี้ ไม่ว่าจะในโลกออนไลน์หรือในชีวิตจริง คนรอดชีวิตก็หนีตายไปต่างประเทศ บางคนโดนจับติดคุก เรียกได้ว่าคนหนุ่มสาวยุคนั้นล้วนจบลงที่ความตายและบาดแผลอย่างเจ็บปวดมาก

ทหารที่ยิงนักศึกษาในวันนั้น ได้รับการปลอบประโลม เพราะพรรคส่งนักร้องสาวสวยไปร้องเพลงกล่อมทหาร เธอชื่อว่า เผิง ลี่หยวน ซึ่งมีหน้าตางดงาม ร้องเพลงเพราะ ตอนนั้นเธอคบหาอยู่กับผู้บริหารพรรคคนหนึ่ง ซึ่งผู้บริหารคนนี้เคยมีภรรยามาแล้ว 1 คนแต่หย่าขาดและเมียเก่าก็ย้ายไปอยู่อเมริกาตลอดชีวิต ด้วยความเป็นโสด เพื่อนสนิทที่แย่งผู้หญิงจากคนรักมาเป็นเมียได้แนะนำให้ผู้บริหารหนุ่มดูมีอนาคตไกลได้พบกับ เผิง ลี่หยวน จนตกลงแต่งงานกัน และด้วยวาสนาเลือกผัวถูกคนนี่เอง ทำให้เผิง ลี่หยวน โด่งดังมีอำนาจมีชื่อเสียงในฐานะสุภาพสตรีอันดับ 1 ของประเทศในตอนนี้

ครับ! ผู้บริหารที่เป็นสามีเธอได้เลื่อนขั้นกลายเป็นประธานาธิบดีในตอนนี้ สี จิ้นผิง นั่นเอง

เติ้ง เสี่ยวผิง นั้น วางระบบสืบทอดอำนาจในพรรคไว้เป็นอย่างดี เขาไม่ต้องการให้ประธานาธิบดีครองอำนาจอยู่จนตายแบบเหมา เจ๋อตุง อีกต่อไป เพราะจะทำให้เกิดลัทธิบูชาตัวบุคคล พรรคต้องสำคัญกว่า เอาตามตรงเติ้งนั้นแกไม่เคยเป็นประธาน เลขาธิการพรรค หรือประธานาธิบดีเลยนะครับ แต่มีตำแหน่งที่ฝรั่งเรียกว่า Paramount Leader แบบผู้นำพรรคตัวจริง ซึ่งผู้นำรุ่นต่อมาไม่มีใครมีอำนาจเท่าเติ้งแม้จะมีตำแหน่งในพรรคเยอะกว่า พึ่งจะมี สี จิ้นผิง นี่แหละที่มีอำนาจแบบเติ้ง

เพราะไม่อยากให้บูชาผู้นำ อันเป็นการขัดหลักการพรรค เติ้งจึงกำหนดประธานาธิบดีและผู้นำพรรคให้อยู่ได้วาระละ 2 สมัย สมัยหนึ่งมีวาระ 5 ปี ก็รวมเป็น 10 ปี กฎเหล็กนี้ทางผู้นำรุ่นที่ 3 และ 4 อย่าง เจียง เจ๋อหมิน และ หู จิ่นเทา ยึดถือมาตลอด แต่มาถูกทำลายฉีกโดย สี จิ้นผิง นั่นเอง นโยบายของเติ้ง เสี่ยวผิง ย้ำว่าเรื่อง เศรษฐกิจต้องรุ่งเรือง แต่ไม่ว่าอย่างไร อย่าทะลึ่งไปมีปัญหากับอเมริกาเด็ดขาด คือประสาชาติมหาอำนาจก็จะไม่หงอล่ะครับ แต่อย่าไปงัดก่อน ยกเว้นเรื่องที่เป็นประโยชน์ของชาติแบบหลัก ๆ เช่นเรื่องภายในประเทศ เรื่องไต้หวัน เป็นต้น

แต่ สี จิ้นผิง แกไม่เอาครับ แกสั่งลุยจีนแข็งกร้าวขึ้นมาทันที เรียกได้ว่ากระทรวงต่างประเทศจีน ซึ่งปกติเป็นกระทรวงกระจอก ๆ ไม่มีใครอยากทำงาน ถูกปฏิรูปใหม่ให้กลายเป็นกระทรวงที่บู๊กับนานาชาติ ตอบโต้อเมริกาและชาติตะวันตกอย่างดุเดือด เสมอ ในระดับที่เรียกว่านักการทูตยุคเก่า ๆ คงงงว่านักการทูตจีนเปลี่ยนไปขนาดนี้เลยเหรอ

ตอนนี้พรรคอายุครบ 100 ปีแล้ว ถือว่ายังสั้นมากหากเทียบกับราชวงศ์โบราณในอดีตที่ปกครองแผ่นดินจีนมายาวนาน นักวิชาการเปรียบว่าตอนนี้พรรคเหมือนกับราชวงศ์หมิงที่ปกครองจีนมา 300 ปี มีนโยบายคล้าย ๆ กัน คุมประเทศเข้ม คุมความคิดคน ไม่คบค้าสมาคมกับต่างชาติ มากนัก ก็คือเอาประเทศเป็นหลักเป็นใหญ่และสุดท้ายราชวงศ์หมิงก็ล่มสลาย ต่อด้วยราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายของจีนที่ถูกปฏิวัติล้มปิดฉากระบบฮ่องเต้ไป

เราก็ไม่รู้ว่า 100 ปีต่อจากนี้ เราจะได้เห็นพรรคคอมมิวนิสต์จีนยืนหยัดได้อยู่ไหม

จากพรรคที่ประชุมก่อตั้งกันอย่างลับ ลุกสู้แล้วก็แพ้ ต้องถอยทัพมีคนตายจำนวนมาก เกือบจะล้มเหลว จนมาชนะสงครามกลางเมือง รวมจีนได้สำเร็จ ปกครองประเทศบริหารนโยบายล้มเหลว ไล่ล่าผู้เห็นต่าง เปิดระบบเศรษฐกิจจนรุ่งเรือง ไล่ยิงคนในประเทศตายกันกลางเมือง ได้ฮ่องกงคืนมา เศรษฐกิจดี แข็งกร้าวกับชาติโดยรอบ สร้างปัญหากับเขาไปทั่ว แต่ก็เป็นพรรคที่ยิ่งใหญ่เพราะปกครองประเทศที่มีประชากรมากสุดในโลก ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะยืนหยัดต่อไปในอนาคตอย่างไร

เรื่องนี้สำหรับคนที่สนใจข่าวต่างประเทศและการเมืองจีน ต้องจับตาดูกันต่อไป

………………………………………………………………….
คอลัมน์ : หนอนโรงพัก
โดย “ณัฐกมล ไชยสุวรรณ”
ขอบคุณภาพจาก : wikipidia, Reuters