อย่างที่เคยกล่าวไว้ว่า ช่วงโควิด-19 “ดูหนังกับหมี” จะเน้นรีวิวภาพยนตร์จากแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ชมได้เลือกชมภาพยนตร์ที่ดูออนไลน์แล้วยังถูกลิขสิทธิ์ในบ้านพัก และลดการออกไปเสี่ยงติดเชื้อโควิดในพื้นที่ที่มีผู้คนจำนวนมากพลุกพล่าน โดยสัปดาห์นี้เป็นช่วงกลางเดือนมีนาคม ทาง Netflix ได้นำหนังใหม่ที่เป็น Originals มาออกฉายให้ชมกันอีกแล้ว ซึ่งกลับมาคราวนี้ เป็นคิวของ ดาราหนุ่มมาดกวน “ไรอัน เรย์โนลส์” หลังจากประสบความสำเร็จอย่างมากจาก Red Notice และ Free Guy ในช่วงที่ผ่านมา โดยครั้งนี้เขาจะต้องสวมบทบาทเป็น “อดัม รีด” หนุ่มนักบินฝีปากกล้า ฉกยานย้อนเวลามาหาตัวเอง…..

เรื่องย่อ “The Adam Project ย้อนเวลาหาอดัม”
โดยในปี ค.ศ. 2050 “อดัม รีด” (รับบทโดย ไรอัน เรย์โนลส์) ถูกตามไล่ล่าโดยกองกำลังปริศนา เขาขโมยยานเพื่อย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 2018 แต่เพราะความผิดพลาดที่ยานถูกยิงระหว่างการวาร์ป เขาจึงไปโผล่ในปี ค.ศ. 2022 แทน เมื่อมาถึง เขาพบว่ายานเสียหายหนัก ซ้ำร้ายร่างกายบอบช้ำบาดเจ็บหนัก ทำให้ยานปฏิเสธไม่ให้เขาขับ “อดัม” จึงตัดสินใจเดินทางไปหาตัวเขาเองในวัยเด็กที่มีอายุเพียง 12 ขวบ เพื่อเกลี้ยกล่อมให้ไปช่วยทำภารกิจลับด้วยกัน แต่เพราะเรื่องไม่มันง่ายขนาดนั้น เพราะตอนที่ไปเจอตัวเองในวัยเด็ก เขาเพิ่งสูญเสียพ่อไปได้ไม่นานแถมยังมีปัญหากับแม่บ่อย ๆ สิ่งเดียวที่จะทำให้อดัมวัยเด็ก ไปทำภารกิจด้วยกันคงไม่พ้น การกลับไปหาพ่อของเขาเพื่อช่วยกันแก้ไข ไม่ให้เกิดเรื่องเลวร้ายในอนาคต

ความโดดเด่นของ The Adam Project

ถ้าขึ้นชื่อว่าเป็น Originals Netflix นั่นหมายถึงการโชว์งานโปรดักชั่นขั้นเทพสวย ๆ ต้องมีให้เห็นแน่นอน โดยเรื่องนี้ได้เน้นภาพของยานอวกาศคล้ายเครื่องบินขับไล่ ยิงใส่กันสนั่น สุดระทึก พ่วงไปด้วยการโชว์แอ๊คชั่นสตั๊นต์อาวุธจากโลกอนาคต (น้องๆ ไลท์เซเบอร์ สตาร์วอร์ส) แต่มีความอเนกประสงค์มากกว่า สำหรับบทตัวละครหลัก รับประกันความฮาวายป่วงโดย “ไรอัน เรย์โนลส์” ที่ออกมาหยอดมุกเกรียนได้เรื่อย ๆ ไม่ต่างกับ “เดทพูล” ฮีโร่สุดเกรียนที่เขาเคยแสดงมา แต่ที่น่าสนใจก็คือ “มาร์ก รัฟฟาโล” ที่เคยรับบทฮีโร่ตัวเขียวร่างยักษ์อย่าง “เดอะฮัลค์” มารับบท “หลุยส์ รีด” พ่อของ “อดัม” นักวิจัยที่เก่งกาจ ไม่ว่าจะเป็นด้านบุ๋นและบู๊ แม้จะดุด่าลูกชายวัยผู้ใหญ่แบบเกรียน ๆ ก็ยังพลิกบทบาทเล่นซีนดราม่าได้ดีมาก ๆ

นอกจากนี้ยังมี “โซอีด ซัลดานา” มารับบท “ลอรา” หวานใจของอดัม ซึ่งเธอก็ยังมีบุคลิกสาวขรึม แต่ซัดศัตรูกลิ้งเป็นลูกบอล ไม่แพ้ตอนสวมบท “กาโมรา” ใน Guardians of the Galaxy และที่ขาดไม่ได้ก็คือการเชือดเฉือนบทบาทของผู้เป็นแม่อย่าง “เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์” ที่มารับบท “เอลลีย์ รีด” พร้อมด้วยลูกชายตัวแสบ ซึ่งก็คือ “อดัม” ในวัยเด็ก รับบทโดย “วอล์กเกอร์ สโคเบลล์” เรียกความดราม่าให้ผู้ชมได้ไม่น้อยเช่นกัน

จุดอ่อนของ The Adam Project

แม้พล็อตหนังจะเดาง่าย เพราะโชว์เคสแบบตรงไปตรงมา ไม่มีเงื่อนงำหรือปริศนา แถมยังจัดหนักดราม่าชีวิต โดยปล่อยบทช่วงแรกเป็น แม่กับลูกวัยเด็ก แล้วค่อยเน้นไปยังฝ่าย พ่อกับลูกวัยผู้ใหญ่ ปรากฏว่าบทไหลลื่นไม่สะดุด แทรกไปด้วยมุกตลกจิกกัด-กวนโอ๊ย สำหรับคนที่รักครอบครัว งานนี้เตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้ซับน้ำตาได้เลย ฉากซาบซึ้งจัดเต็มอบอุ่นหัวใจแน่นอน อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว แม้หนังเรื่องนี้จะออกไซไฟจัดจ้าน โดนใจใครหลายคน แต่สำหรับคอหนังไซไฟจริง ๆ อาจจะไม่โดนใจนัก เพราะความตรงไปตรงมาของบทที่ดูเรียบง่ายเกินไป ซ้ำยังอัดดราม่าไปในตอนท้ายจนเกิดความอึดอัดใจแก่ผู้ชมบางท่าน เพราะเหตุผลและหลักการเกิดสวนทางกันอย่างช่วยไม่ได้

4/5 กะโหลก เป็นหนังไซไฟที่มีความเกรียนฮา แล้วยังเรียกน้ำตาให้ผู้ชมได้ด้วย อย่างที่เคยบอกกล่าวเสมอครับว่า ถ้าเป็นหนังที่ส่งเสริมให้เกิดความรักความเข้าใจกันในครับครัวแล้ว ก็ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงจริงๆครับ

————————————————————————–

คอลัมน์ : ดูหนังกับหมี
โดย : แพนด้าอ้วน

ขอบคุณข้อมูล ภาพจาก เว็บไซต์ Youtube และ Netflix