สิ่งที่น่ากลัว!! ที่สุดในเวลานี้ ย่อมหนีไม่พ้น…เรื่องของการประคองตัวเอง “ให้อยู่รอด” ให้ได้ในยามที่ภาวะข้าวยากหมากแพง แม้…สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ไม่ได้มีผลกระทบถึงไทย ในเรื่องของ “ความรุนแรง”

แต่!! ผลของสงครามไฟ ก็ทำให้ “ต้นทุน”การใช้ชีวิตของคนไทยทั้งประเทศ “เสี่ยง” มากขึ้น เพราะการดำรงตนให้มีกินมีใช้ท่ามกลาง น้ำมันแพง ข้าวของแพง ค่าไฟแพง ทองคำแพง ทุกอย่างแพงหมด แต่…เงินในกระเป๋ากลับไม่เพิ่ม

ขณะที่ผู้บริหารประเทศ ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก เพราะต้นทุนและความเสี่ยง ที่เกิดขึ้น มาจากปัจจัยที่ “คุมไม่ได้” ขณะที่การเลือกวิธีเพิ่มเงินในกระเป๋า ด้วยการ “ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ” ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็เป็นไปไม่ได้

เพราะอะไร? เพราะเศรษฐกิจเช่นนี้ นายจ้างก็ไม่มีรายได้ไม่อู่ฟู่เหมือนก่อน ขณะที่ฟากฝั่งของรัฐบาลเอง ก็รายได้ชักหน้าไม่ถึงหลัง และหากเลือกเพิ่มค่าแรงเข้าไปอีก ยิ่งซ้ำเติมให้ภาวะข้าวของแพงมากขึ้น ซ้ำเติมให้ภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้น

สุดท้าย…จะมีแต่เจ๊งกับเจ๊ง !!

ภาวะเศรษฐกิจที่ตกสะเก็ด เชื่อเถอะ…ในขั้นต้น แต่ละคนต่างหาทางช่วยเหลือตัวเองอยู่แล้วเพราะไม่มีทางเลือกอื่น ในเมื่อ…มีน้อยก็ต้องใช้น้อย เป็นของธรรมดา

ขณะเดียวกัน ประชาชนคนทั้งประเทศก็ยังเฝ้ารอความหวัง จากผู้บริหารประเทศ ว่า…จะหาวิธียื่นมือเข้ามาช่วยประคับประคองชีวิตคนไทยทั้งประเทศได้อย่างไร นอกเหนือจากคำว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”

“สวนดุสิตโพล” ระบุว่า จากผลสำรวจล่าสุด ความคิดเห็นของประชาชนมากถึง 91.44% ต้องการให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาบ้านเมืองโดยเฉพาะน้ำมันแพง สินค้าแพง รองลงมา ถึง 71.81% ระบุว่า มีรายได้ไม่พอกับรายจ่าย

ที่สำคัญ ผลสำรวจที่ออกไม่ไม่ใช่เฉพาะแค่เดือนนี้ ช่วงนี้เท่านั้น แต่เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ที่คนไทยทั้งประเทศเรียกร้องในทิศทางเดียวกันที่ต้องการให้รัฐบาลเข้ามาแก้ปัญหาเรื่อง “ปากท้อง”

แม้ทุกคนจะเข้าใจถึง “สาเหตุ” ของสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้นก็ตาม แต่ก็นั่นแหละ…ทุกคนก็อยากจะเห็น “ฝีมือ” ของผู้บริหารประเทศไม่น้อยไปกว่ากัน

ว่ากันว่า…ในสัปดาห์นี้อาจได้เห็นมาตรการของรัฐบาลที่ออกมาประคับประคองผู้มีรายได้น้อยจากกรณีการขึ้นค่าก๊าซหุงต้ม ผ่านบัตรคนจน โดยการปรับเพิ่มวงเงินช่วยเหลือจาก 45 บาทต่อ 3 เดือน เป็น 100 บาท ต่อ 3 เดือน

ขณะที่เรื่องของค่าไฟ ก็มีแนวโน้มความเป็นไปได้ว่า ครัวเรือนที่ใช้ไฟไม่เกิน 1,200 บาท ก็อาจให้ใช้ในราคาเดิม แต่ถ้าใช้เกินจากนี้ก็ต้องใช้ราคาค่าไฟในอัตราใหม่ที่เคาะออกมาแล้วว่าอยู่ที่หน่วยละ 4 บาท

ส่วนเรื่องของราคาสินค้า เอาเข้าจริงในเมื่อต้นทุนพุ่งขึ้นจริง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะยับยั้งให้อยู่ในราคาเดิม เพราะถ้าเจ้าของสินค้าทนไม่ไหว สุดท้าย สินค้าก็อาจหายไปจากตลาด เดือดร้อนกันเข้าไปใหญ่

ที่ผ่านมา…สินค้าที่ไม่ใช่สินค้าควบคุมต่างทยอยขึ้นราคากันไปบ้างแล้ว อย่างน้อยก็ 5-10% แต่ถ้าเป็นสินค้าควบคุม ที่กรมการค้าภายในยังไม่อนุญาต ต่างหันมาใช้วิธีปรับรูปแบบการทำตลาด เช่น ลดส่วนลด หรือของแถมลง

การปรับส่วนลดหรือของแถมลดลง ก็คือการขึ้นราคาสินค้าทางอ้อมนั่นแหละ เพียงแต่ผู้บริโภคอย่างคุณ ๆ ท่าน ๆ อาจไม่รู้สึกมาก เพราะเป็นการปรับราคาสินค้าเพียงหลักสตางค์ หรือ 1 บาทเท่านั้น

ขณะเดียวกันวิธีใหม่หรือโมเดลใหม่ ที่เจ้าของสินค้าเลือกใช้เพื่อความอยู่รอดก็คือ การปรับขึ้นราคาขายส่ง นั่นหมายความว่า ไป “ลดกำไร” ของร้านขายปลีกลง โดยร้านขายปลีกไม่สามารถปรับขึ้นได้ หากเป็นสินค้าที่กรมการค้าภายในคุมราคา ก็ขึ้นราคาขายปลีกไม่ได้ แต่ถ้าไม่ใช่สินค้าควบคุม ก็ดาหน้าขึ้นราคากันไปหมดแล้ว 

อย่างที่รู้ ๆ กัน ทั้งน้ำมันพืช ไข่ไก่ เนื้อหมู น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง แป้งทำอาหาร สบู่ เหล้า เบียร์ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารจานด่วน อาหารปรุงสำเร็จ ก๋วยเตี๋ยว ข้าวแกง และอีกสารพัดสินค้า ต่างดาหน้าขึ้นราคากันแทบทุกประเภท

ขณะที่ปัญหาเรื่องของวัตถุดิบอาหารสัตว์กำลังทวีความร้อนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ รอวันปะทุทุกวินาที นั่นก็หมายความว่า สารพัดเนื้อสัตว์ ก็เตรียมพาเหรดขึ้นราคากันอีก

นี่!! เป็นเพียงแค่ เรื่องของปากท้อง ที่กำลังเป็นปัญหาอย่างหนัก ซึ่งไม่ใช่เพียงเท่านี้ ที่คนไทยทั้งประเทศกำลังเผชิญ ปัญหาหนี้สิน ที่ยังไม่หมดไป หรือปัญหาถูกหลอกลวงในสารพันรูปแบบ ที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง ปัญหาโจร ขโมย ที่กำลังผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด

สุดท้าย…ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้บริหารประเทศ ที่จะโชว์ฝีมือและแสดงความจริงใจในการแก้ไขปัญหาให้ทุเลาบรรเทาเบาบางลง อย่าเพียงแต่บอกว่า…ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน!!

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”