ชาวพุทธพึงทราบว่า ความจริงของชีวิตในปัจจุบันชาติ คือ แต่ละคนเกิดมาล้วนมีทุกข์กันทั้งสิ้น แตกต่างตามฐานานุรูปของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นไปตาม “กฎแห่งกรรม”  เป็นไปตามผลของกรรมที่เคยกระทำมาในครั้งอดีตชาติ พระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นที่พึ่งแก่ชาวพุทธ เพราะคำสอนของพระองค์ไม่เคยนำความทุกข์มาให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามคำสอนย่อมจะมีความทุกข์ลดน้อยลง  การดำเนินชีวิตประจำวันจะมีความเป็นปรกติสุขตามอัตภาพของแต่ละบุคคล

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงในความจริงอันถึงที่สุด (อริยสัจธรรม)  ทรงจำแนกธรรมเป็นหลายประเภทในหลายนัย คือ อริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ปรมัตถธรรม 4  ได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน จิตและเจตสิกเป็นนามธรรมหรือนามธาตุหรือนามขันธ์ซึ่งเป็นสภาพรู้ รูป เป็นรูปธรรมหรือรูปธาตุหรือรูปขันธ์ซึ่งเป็นสภาพที่ไม่รู้ แต่ถูกรู้ นิพพานเป็นธรรมเหนือโลก (โลกุตรธรรม)  ขันธ์ 5 ได้แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ในพระอภิธรรมได้แสดงให้เห็นถึงสภาพธรรม ได้แก่ ธรรมที่เป็นกุศล (กุศลาธรรมมา) ธรรมที่เป็นอกุศล (อกุศลาธรรมมา) ธรรมที่ไม่เป็นกุศลและธรรมที่ไม่เป็นอกุศล (อพยากตาธรรมมา)

พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีความสุขุม ละเอียดและลึกซึ้งยิ่ง ยากที่จะเข้าใจได้ โอกาสประเสริฐที่สุดของชีวิต คือ การฟังธรรมตามกาล เพราะการดำเนินชีวิตไม่ใช่เพียงแต่การประกอบสัมมาอาชีวะเท่านั้น การรู้ในสิ่งที่มีจริงหรือธรรมะที่มีจริง (สัจธรรม) จะเป็นเหตุให้ละความไม่รู้ (อวิชชา) และนำไปสู่การมีความเห็นถูก (สัมมาทิฎฐิ) การที่ได้เกิดมาเป็นคนในชาตินี้และได้นับถือพระพุทธศานา  จึงไม่ควรประมาทในการดำเนินชีวิตด้วยประการทั้งปวง

ในห้วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาได้ริเริ่มโครงการประดิษฐานพระธรรม ณ แดนพุทธภูมิ ที่ประเทศอินเดีย และอยู่ในระหว่างการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อก่อตั้งมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาอีกแห่งหนึ่งที่เมืองลัคเนาว์  รัฐอุตตรประเทศ เมืองลัคเนาว์เป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการคมนาคม ในตอนเหนือของประเทศอินเดีย  เป็นเมืองซึ่งเป็นประตูสู่สังเวชนียสถาน 4  ได้แก่ เมืองสาวัตถี เมืองพาราณสี เมืองสารนาถ เมืองกุสินารา…….

อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงโครงการประดิษฐานพระธรรม ณ แดนพุทธภูมิ ที่ประเทศอินเดีย มีใจความว่า  “ …ตั้งแต่เริ่มเข้าใจพระธรรม เห็นประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่ใช่แต่เฉพาะตัวเองที่เข้าใจแล้ว มิเช่นนั้นจะไม่มีมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาแน่นอน ถ้าเราไม่คิดว่าสิ่งที่ได้ทำจะสามารถเผยแพร่ได้กว้างขวางและมั่นคงขึ้น…..   เราไม่เคยหยุดที่จะให้คนอื่นให้ได้มีความเข้าใจพระธรรมเลย ไม่ว่าเขาเป็นใคร เชื้อชาติไหน ในขณะที่บรรยายธรรมที่วัดมหาธาตุฯ ก็มีกลุ่มชาวต่างประเทศเข้ามาในเมืองไทยด้วยจุดประสงค์ต่างๆ เมื่อทราบว่ามีการสนทนาธรรมเขาก็สนใจ การเริ่มต้นที่จะให้คนอื่นได้รับประโยชน์จากพระธรรม ถ้าไม่มีความคิดที่จะให้จะไม่มีวันนี้ซึ่งมีกิจกรรมหลายอย่างทำประโยชน์หลายด้าน …..

เมื่อมีความมั่นคงที่เห็นประโยชน์ของผู้ที่เข้าใจพระธรรม ค่อยๆทำไป หากไม่มีมูลนิธิฯ คงไม่มีกิจกรรมอย่างกว้างขวางเหล่านี้ ความเข้าใจในพระธรรมและความมุ่งมั่นของทุกคนที่เห็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะให้พระธรรมดำรงอยู่ ทุกคนร่วมใจกัน ทำทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการบริหารมูลนิธิฯ เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ  วิทยากร ผู้ร่วมการทำงานและผู้ร่วมกุศลทั้งหมดทุกคนพร้อมใจที่จะช่วยกันในทุกด้าน จะรู้ได้ถึงความจริงใจของทุกคนว่า ไม่ใช่เพื่อส่วนตัว แต่ทั้งหมดเพื่อการดำรงไว้ซึ่งคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทุกครั้งที่ไปอินเดีย เราไปสักการะบูชาสถานที่ต่างๆ เรามีการสนทนาธรรมทุกครั้ง ไม่ใช่เพียงแต่ไปนมัสการ ถ้าไม่รู้คุณของพระธรรมแล้ว เราไปทำอะไร เพียงกราบไหว้บูชา เท่านั้นหรือ หวังอะไรหรือเปล่า ณ ที่นั้นมีวัดนานาชาติมากมาย มีสมาคมมหาโพธิ์ เป็นต้น ซึ่งไม่มีพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดง

ในใจของทุกคนที่ร่วมในการศึกษาพระธรรม  สิ่งที่ต้องการมากที่สุด คือ ให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการฟังพระธรรมด้วยความเข้าใจ เพราะฉะนั้นเราทำงานอย่างเต็มที่ เต็มหัวใจ เรารู้ความจริงว่า  สิ่งที่มีค่าในสังสารวัฏ  ไม่ใช่เพียงแค่ชาตินี้ ชาตินี้ได้เกิดมามีโอกาสอย่างนี้แล้ว โอกาสที่เป็นบุญเก่าที่ได้สะสมมา คุณความดีต่าง ๆ ทำให้มีโอกาสได้ยินได้ฟังได้เข้าใจพระธรรม……

มูลนิธิฯจะสนับสนุนทุกคนที่มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมให้เข้าใจขึ้น เรายังได้ฟัง แล้วเขาล่ะ ถ้ามีโอกาสเขาก็เข้าใจได้ แต่โอกาสนั้นถ้าไม่มีใครช่วยกันให้เขาได้มีโอกาสได้รับอย่างเรา เขาก็หมดโอกาสในชาตินี้ ….

กว่าจะเข้าใจสภาพธรรมได้ ไม่ใช่สามารถประจักษ์​แจ้งสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงว่า  เดี๋ยวนี้ไม่มีเรา แต่ว่ามีสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับ นี่คือความลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นจะให้คำสอนของพระองค์อันตราธานไปรวดเร็วหรือ ถ้ามีกำลังพอที่จะให้คนอื่นไม่ว่าเขาเป็นใครทั้งสิ้น เราก็ทำด้วยกุศลจิตและกุศลเจตนา….

นี่เป็นจุดประสงค์ของมูลนิธิ ไม่ใช่เพียงแต่รับบริจาค เก็บเงินไว้ไม่ทำอะไร ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เงินนั้นเป็นของพระธรรม มาจากพระธรรม เพื่อพระธรรมต่อไป การใช้เงินที่เป็นประโยชน์สูงสุดกว่าอย่างอื่นที่เคยทำมาแล้ว เช่น ช่วยคนในยามภัยพิบัติ ไม่ว่าจะน้ำท่วมที่ประเทศไทยหรือประเทศอื่นๆ หรือเครื่องช่วยหายใจ หรืออะไรทั้งหมด แต่สิ่งที่มีค่ากว่านั้น คือ ถ้าเราสามารถทำให้คนส่วนใหญ่ได้เข้าใจพระธรรมมากขึ้นจะดีกว่าการต่อลมหายใจให้เขาจากการช่วยเหลือเท่านั้น การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ของเขา เขาเข้าใจพระธรรมหรือเปล่า ….

ใครก็ไม่สามารถที่จะยับยั้งมูลนิธิฯ ได้ … เมื่อมีผู้ที่เกิดมาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่สามารถที่จะพบปะ เข้าใจพระธรรม แล้วก็ช่วยกันทำกิจที่เป็นประโยชน์ที่สุดในการระลึกถึงคุณและทำสิ่งที่ตอบแทนพระคุณ คือ  ให้พระธรรมดำรงอยู่…    การกระทำใดๆของมูลนิธิฯ ทั้งสิ้นเพื่อพระธรรม คนอื่นจะได้รับประโยชน์ด้วย เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีให้เราได้เข้าใจ เราก็รับความเข้าใจสืบทอดไปให้คนอื่น อะไรจะดีกว่านี้…

จากการที่คุณอาคิ่วมาเมืองไทยและมีโอกาสศึกษาพระธรรม เราจะรู้ได้จากงานของเขา และงานของคุณอาช่าที่เป็นภรรยาว่า เขามีความเข้าใจในระดับไหน จนกระทั่งเป็นที่วางใจได้ว่า เขาไม่คลาดเคลื่อนจากความถูกต้อง เขาก็มีพระธรรมเป็นที่พึ่งและจะมีทางมูลนิธิฯ เป็นที่ปรึกษาในด้านของความรู้ทั้งหมด…

ด้วยเหตุนี้ ถ้าไม่มีคุณอาคิ่ว กับคุณอาช่า เราก็ไม่มีใคร การที่คิดว่าจะมีพระธรรมที่ประเทศอินเดียก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้… ทางอินเดียขอร้องให้ทางมูลนิธิฯ ที่กรุงเทพฯ เป็นกรรมการกิตติมศักดิ์เพื่อที่จะดำเนินงานนั้น เหมือนกับว่าเรามีการเผยแพร่อีกที่หนึ่งในประเทศอินเดีย… มูลนิธิฯ ที่ประเทศ​ไทยกับมูลนิธิฯ ที่ประเทศอินเดียก็จะเผยแพร่พระธรรมคู่กันไปในระยะยาว….”

…………………………………..
คอลัมน์ : ว่ายทวนน้ำ
โดย “ทวีศักดิ์ อุ่นจิตติกุล”
อ่านเพิ่มเติมที่.. แฟนเพจ : สาระจากพระธรรม

อ่านเพิ่มเติม : มูลนิธิศึกษา-เผยแพร่พระ​พุทธศาสนา กับแดนพุทธภูมิ