สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 1 ส.ค.ว่า นพ.แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติของสหรัฐ ( เอ็นเอไอดี ) กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศของโรคโควิด-19 ว่าโดยส่วนตัวเขายังคงเชื่อมั่นว่า จำนวนประชากรซึ่งเข้ารับการฉีดวัคซีนแล้ว "จะมีจำนวนมากเพียงพอ" ให้สหรัฐไม่ต้องหวนกลับไปใช้มาตรการล็อกดาวน์ เหมือนเมื่อปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม นพ.เฟาซียอมรับว่า การฉีดวัคซีนเพียงอย่างเดียว "ยังไม่เพียงพอ" ที่จะเอาชนะวิกฤติโรคระบาดครั้งนี้ เนื่องจากเมื่อมองในภาพรวมปรากฏว่า มีประชาชนอีกประมาณ 100 ล้านคน มีสิทธิเข้าถึงการฉีดวัคซีน ซึ่งสามารถลดการป่วยหลักและการเสียชีวิตได้ แต่กลุ่มคนเหล่านี้เลือกที่จะไม่รับวัคซีน ยิ่งสถานการณ์เป็นเช่นนี้นานเท่าไหร่ การติดเชื้อและการล้มป่วยของกลุ่มคนเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อทั้งประเทศมากเท่านั้น 
ทั้งนี้ การที่เชื้อเดลตาซึ่งแพร่กระจายได้ง่ายและรวดเร็วกว่าปกติ กลายเป็นสายพันธุ์หลักของสหรัฐ สร้างความวิตกกังวลให้แก่ทุกฝ่ายมากขึ้น เมื่อรายงานจากสำนักงานสาธารณสุขที่เมืองพรอวินซ์ทาวน์ ในรัฐแมสซาชูเซตส์ ยืนยันผู้ป่วยโรคโควิด-19 อย่างน้อย 882 คน เชื่อมโยงกับคลัสเตอร์ที่นี่ 74% รับวัคซีนครบแล้ว และปริมาณเชื้อในร่างกายของผู้ป่วยหลายคนที่ฉีดวัคซีนแล้ว แทบไม่ต่างจากผู้ป่วยจากคลัสเตอร์เดียวกัน ซึ่งยังไม่ได้รับวัคซีน 

ข้อมูลดังกล่าวส่งผลให้ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ( ซีดีซี ) ประกาศให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว กลับมาสวมหน้ากากอนามัยอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงวิจารณ์จากหลายฝ่ายว่า "เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล" แต่ นพ.เฟาซีกล่าวว่า การฉีดวัคซีนแล้วไม่ได้ความว่า จะไม่มีโอกาสติดเชื้ออีก แล้วเมื่อติดเชื้อ ไม่ว่าจะมีอาการป่วยหรือไม่ บุคคลนั้นยังสามารถแพร่กระจายเชื้อต่อให้กับบุคคลรอบข้างได้ การไม่ป้องกันตัวเองก่อนในกรณีนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่นเช่นกัน.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES