‘ฟาน ถี กิม ฟุก’ เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกจากภาพถ่าย ‘Napalm Girl’ ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นฉายาของเธอด้วย แม้ว่าสาเหตุของความมีชื่อเสียงของเธอจะน่าสลดใจมากกว่าน่ายินดี

กิม ฟุก อายุเพียง 9 ขวบ ตอนที่ช่างภาพ ‘นิค อุท’ ถ่ายภาพของเธอไว้ได้ในขณะที่กำลังวิ่งหนีจากจุดทิ้งระเบิดนาปาล์ม ซึ่งก็คือหมู่บ้านที่เธออาศัยอยู่ในเวียดนาม เมื่อเดือน มิ.ย. 2515

ปีนี้ซึ่งครบปีที่ 50 หลังจากที่เธอโดนถ่ายภาพไว้ กิม ฟุก ซึ่งตอนนี้อายุได้ 59 ปี ต้องทนต่อความเจ็บปวดมาตลอดเวลา 50 ปีจากบาดแผลของผิวหนังที่โดนเผาไหม้ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เธอเข้ารับการรักษารอยแผลเป็นด้วยแสงเลเซอร์รอบสุดท้ายที่สถาบันโรคผิวหนังและการรักษาด้วยเลเซอร์ที่ไมอามี รัฐฟลอริดา 

กิม ฟุก และร่องรอยแผลเป็นที่เห็นได้ชัดบนแขนของเธอ
กิม ฟุก ขณะเตรียมรับการรักษารอยแผลเป็นรอบสุดท้าย

กิม ฟุก และ อุท ช่างภาพยังได้โอกาสกลับมาพบกันอีกครั้งที่ ไมอามี่ พร้อมกับร่วมรำลึกถึงความโหดร้ายในช่วงเวลาที่ อุท ได้ภาพถ่ายนั้น

กิม ฟุก เล่าว่า ตอนนั้นเธอได้ยินเสียงดังเป็นจังหวะ จากนั้นก็เกิดเพลิงไหม้รอบตัวเธอ ไฟยังติดที่แขนของเธอด้วย

อุท ซึ่งไม่เพียงถ่ายภาพของเธอไว้ แต่ยังเป็นผู้ช่วยชีวิตของเธอด้วย กล่าวว่าเขาจำได้ว่าเห็นเธอวิ่งออกมาพร้อมกับแขนเห็นได้ชัดว่ามีร่องรอยไหม้ไฟ ผิวบนร่างกายของเธอไหม้พองไปหมดอย่างน่ากลัว หลังจากที่เขาถ่ายภาพเธอได้ เขาก็รีบพาเธอไปส่งโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่ที่นั่นไม่ยอมรักษาเธอและบอกให้เขาขับรถพาเธอไปยังโรงพยาบาลอีกแห่งที่อยู่ห่างออกไปถึง 2 ชม.

อุท ไม่พอใจมาก เขาใช้บัตรนักข่าวและสถานะสื่อมวลชนข่มขู่ว่าถ้าเด็กหญิงเป็นอะไรไป ภาพของเธอจะได้ขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทั่วโลกในวันรุ่งขึ้นแน่นอน ทางโรงพยาบาลจึงรีบรับตัวเธอเข้าไปรักษาทันที

กิม ฟุก รอดตาย แต่บาดแผลบนร่างกายของเธอยังคงทิ้งร่องรอยและความเจ็บปวดไว้ จนกระทั่งได้รับการรักษาทั้งรอยแผลเป็นและอาการเจ็บปวดที่ยังคงมีอยู่ซึ่งต้องใช้เวลาไม่น้อย 

ปัจจุบัน กิม ฟุก อาศัยอยู่ในโตรอนโต ประเทศแคนาดา เธอกล่าวว่า เธอหวังว่าโลกนี้จะเรียนรู้ที่อยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความหวังและการให้อภัย เพื่อจะได้ไม่ต้องมีสงครามอีกต่อไป

ภาพถ่าย ‘Napalm Girl’ ที่จับความรู้สึก ณ ช่วงเวลาที่น่าสะเทือนขวัญเอาไว้และได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ในเวลาต่อมา ยังคงเป็นภาพอันทรงพลังและเป็นภาพสัญลักษณ์ที่คอยเตือนใจชาวโลกถึงความโหดร้ายของสงคราม

แหล่งข่าว : nbcnews.com

เครดิตภาพ : Getty Images