เมื่อเวลา 09.00น. วันที่ 29 มิ.ย. ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ผ่านระบบ Video Conference ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ตามมาตรการสาธารณสุขเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิค-19 สำหรับวาระที่น่าสนใจวันนี้ จะมีการพิจารณาชดเชยผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งตามฉบับที่ 25 ตามความในมาตรา 9 แห่งพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่ 6 จังหวัด กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ นครปฐม สมุทรสาคร ปทุมธานี ทั้งในกลุ่มแรงงานและผู้ประกอบกิจการก่อสร้าง ผู้ประกอบการร้านอาหารและพนักงานลูกจ้าง โดยจ่ายชดเชยในเหตุสุดวิสัยให้กับลูกจ้างจ่ายเงิน 50 % ของฐานเงินเดือนหรือไม่สูดสุงเกิน 7,500 บาท และเงินเพิ่มเติมให้กับลูกจ้างในระบบประสังคมอีก 2,000 บาทต่อราย จากสาเหตุเมื่อลูกจ้างได้รับผลกระทบจากการลดเงินเดือนหรือไม่ได้รับเงินเดือน สำหรับผู้ประกอบการหรือนายจ้างจะได้รับเงินช่วยเหลือ 3,000 บาทต่อหัวของลูกจ้างในบริษัท สูงสุดไม่เกิน 200 คน ระยะเวลา 1 เดือน
ขณะที่การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างที่อยู่นอกระบบประกันสังคม จะดูจากฐานข้อมูลที่ผู้ลงทะเบียนระบบถุงเงิน โดยให้ผู้ประกอบการที่ต้องการรับความช่วยเหลือลงทะเบียนผ่านระบบถุงเงินได้ ซึ่งนายจ้างจะได้รับเงินช่วยเหลือ 3,000 บาทต่อหัวของลูกจ้างในบริษัท สูงสุดไม่เกิน 200 คน ระยะเวลา 1 เดือน หากลูกจ้างเป็นคนไทยจะได้รับเงินช่วยเหลือ 2,000 บาท ส่วนเงินสมทบ 50 % ของฐานเงินเดือนหรือไม่สูดสุดเกิน 7,500 บาท จะยังไม่ได้รับในส่วนนี้ เพราะกฎหมายกำหนดต้องสมทบเงินเข้าระบบประกันสังคมอย่างน้อย 6 เดือน
ส่วนผู้ประกอบการ ที่ไม่มีลูกจ้าง สามารถลงทะเบียนผ่านแอพถุงเงินได้ โดยให้กระทรวงมหาดไทยเข้าไปตรวจสอบ เป็นผู้ประกอบการหวดอาหารและเครื่องดื่ม คาดว่าจะใช้งบประมาณจากรัฐบาล 4,000 ล้านบาท และงบประมาณจากสำนักงานประกันสังคม 3,500 ล้านบาท
“ม็อบส้นสูง” ร้อง “นายกฯ” เยียวยา 5 พันต่อเดือน
นอกจากนี้กระทรวงการคลัง จะเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มาตรการภาษีสนับสนุนการบริจาค เพื่อแก้ไขปัญหาโรคโควิด-19 ขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การยกเว้นข้อห้ามมิให้คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา สปป.ลาว และเมียนมา สามารถยื่นคำขอรับหนังสือคนประจำเรือเพื่ออยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และทำงานกับนายจ้างในกิจการประมงทะเล ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ตามมติคณะรัฐมนตรี