เมื่อวันที่ 21 ก.ค. ที่รัฐสภา นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นบุคคลผู้มีอำนาจ แต่ขาดความสามารถ และความรับผิดชอบ ตนขออภิปราย 3 ประเด็นคือ 1.จงใจปล่อยปละละเลยให้เกิดเครือข่ายทุจริตในกองทัพอย่างกว้างขวาง 2.สร้างความเสื่อมเสียกับพระเกียรติยศในโครงการเทิดพระเกียรติ และ 3.มีจิตสำนึกเผด็จการสันดานทรราช หลังรัฐประหารแล้วยังจงใจบ่อนทำลายการปกครองและระบอบประชาธิปไตยต่อเนื่อง เมื่อกลางเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา มีข่าวเล็กๆข่าวหนึ่งที่น่าสนใจในเพจเฟซบุ๊กเพจหนึ่งที่พาดหัวข่าวว่า “อนุสาวรีย์รัชกาลที่ 9 ค่ายภูมิพล มาแทนที่อนุสาวรีย์พระยาพหล เผยวงเงินสร้าง 60 ล้านบาท” เมื่อตนเข้าไปอ่านเนื้อในข่าวก็ได้รายละเอียดเรื่องนี้เพิ่มขึ้นทราบว่าเมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา กองทัพบกได้จัดพิธีอันเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์ในหลวง ร.9 จากพระบรมมหาราชวังใน กทม. ไปแทนที่อนุสาวรีย์พระยาพหล ที่ศูนย์การทหารปืนใหญ่ ค่ายภูมิพล จ.ลพบุรี
โครงการนี้ใช้งบประมาณ 59,973,500 บาท จากเอกสารเผยแพรข่าวของกองทัพบกให้รายละเอียดว่าในหลวง ร.10 ได้พระราชทานพระบรมราชานุสาวรีย์ดังกล่าวให้กองทัพบก โดยกองทัพบกได้ดำเนินโครงการนี้ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 63 ก่อนหน้านี้มีการเปลี่ยนชื่อค่ายจากเดิมค่ายพหลโยธิน มาเป็นชื่อค่ายภูมิพล เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.62 เมื่อประชาชนทราบข่าวหลายคนตั้งคำถามว่าทำไมถึงใช้งบประมาณในโครงการนี้สูงถึง 60 ล้านบาท เพราะเป็นแค่การปรับปรุงแท่นและภูมิทัศน์เท่านั้น 4 วันถัดมาศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมออกมาชี้แจงผ่านเพจว่าข่าวที่ลงไปนั้นเป็นข่าวบิดเบือน โดยกองทัพบกชี้แจงว่าทุนที่นำมาสร้างแท่นและปรับภูมิทัศน์นั้นได้มาจากเงินสมทบทุนจากการบริจาคของผู้มีจิตศรัทธา ไม่ได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน การสร้างเพื่อทำให้สถานที่สง่างามสมพระเกียรติในหลวง ร. 9
พอเห็นแบบนั้นตนก็ไปหาข้อมูลต่อใน 3 จุดคือ เคยมีแคมเปญประชาสัมพันธ์ของกองทัพที่ให้ประชาชนร่วมบริจาคผ่านช่องทางใดหรือไม่ ปรากฏว่าไม่พบ เมื่อไปดูงบการเงินกองทัพบกเมื่อวันที่ 30 ก.ย.64 ปรากฏว่าช่องรายได้ได้แสดงรายการเงินบริจาคเอาไว้ มียอดทั้งสิ้น 3 ล้านกว่าบาท ตนจึงย้อนกลับไปดูงบบริจาคของปีก่อนหน้านี้อีกพบว่ามีเงินบริจาคพียง 2.3 ล้านบาทเท่านั้น ห่างไกลกับยอดเงิน 60 ล้านบาทมาก ถามว่าหมกเม็ดอะไรกันไว้ หากเป็นเงินบริจาคจริงๆ ทำไมไม่นำมาแสดงในงบบริจาค ประชาชนจะรับทราบได้อย่างไร หรือเป็นวัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่งหรือไม่ หรือเอาเงินส่วนนี้ไปฝากไว้บัญชีนายพลคนไหน
นางอมรัตน์ อภิปรายต่อว่า เมื่อตรวจสอบเพิ่มเติมก็สงสัยว่า ในเอกสารมีการระบุว่างบประมาณ 60 ล้านบาท นั้นได้มาจากเงินเพิ่มเติมระหว่างปีงบประมาณ 64 ถ้าเป็นเงินที่มาจากรัฐ แสดงว่าศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมเอาข่าวปลอมจากกองทัพบกมาเผยแพร่เพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเงินจากการบริจาคใช่หรือไม่ เป็นเฟคนิวส์ซ้อนเฟคนิวส์หรือไม่ ถ้าเงินเพิ่มเติมก้อนนี้ไม่ได้มาจากเงินรัฐ แต่มาจากเงินบริจาคจริงๆ ตนถามว่าเงินบริจาคมากมายขนาดนั้นกองทัพบกเก็บไว้ในปี๊บที่ไหน นี่เป็นโครงการพิเศษอะไร โครงการของกองทัพบกหลังยุครัฐประหารมีกลิ่นไม่ดีโชยมาตลอด และประชาชนตรวจสอบได้ยากเย็น
อีกทั้งโครงการอุทยานราชภักดิ์ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่สร้างจากเงินบริจาค เมื่อประชาชนเห็นความผิดปกติแต่ตรวจสอบไม่ได้ เพราะพล.อ.ประยุทธ์ กลัวการตรวจสอบจนต้องไปตัดโบกี้รถไฟที่สถานีบ้านโป่ง เมื่อปี 58 และควบคุมตัวนักศึกษาและประชาชน 38 คนไปควบคุมไว้ในค่ายทหารแถวพุทธมณฑล เรียกว่าประยุทธ์สันหลังหวะ อีกทั้งที่ผ่านมามีการเปลี่ยนชื่อค่ายทหารที่สำคัญใน จ.ลพบุรี ถึง 2 ค่ายคือศูนย์การทหารปืนใหญ่จากเดิมค่ายพหลโยธินเป็นค่ายภูมิพล และกองพลทหารปืนใหญ่จากเดิมชื่อค่ายพิบูลสงครามเป็นค่ายสิริกิติ์ และรื้ออนุสาวรีย์จอมพล ป. พิบูลสงคราม บริเวณวงเวียนหน้าค่ายใน จ.ลพบุรี ซึ่งมีพี่น้องทหารในลพบุรีฝากสะท้อนความรู้สึกความในใจถึง พล.อ.ประยุทธ์ด้วยว่า การอัญเชิญอนุสาวรีย์ถือเป็นเรื่องดีและเป็นเรื่องมงคล แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรื้อ 2 อนุสาวรีย์ก่อนหน้านี้ออกไปด้วย
“สำหรับพี่น้องทหาร พระยาพหล และจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นที่เคารพนับถือ เป็นผู้นำกองทัพที่สง่างาม มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย เปลี่ยนพวกเราจากไพร่ทาสมาเป็นพลเมือง อย่ามารื้อทำลายสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจของพวกเขาได้หรือไม่ โครงการรื้อๆ สร้างๆ อนุสาวรีย์ของกองทัพ ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ โดยโครงการแรกคือโครงการรื้อถอนและติดตั้งซุ้มเทิดเพระเกียรติ ที่กองทัพบกใช้วิธีการคัดเลือกและผู้ที่ผ่านการคัดเลือกคือห้างหุ้นส่วนจำกัดภูวเนศ เสนอราคามา 1,173,000 บาท จากราคากลาง 1.2 ล้านบาท ที่น่าสนใจคือผู้รับเหมาเข้าไปพื้นที่ก่อนที่จะมีการประกาศชื่อผู้ชนะการประมูลนานถึง 15 เดือน จับโป๊ะกันได้ขนาดนี้จะแก้ตัวอย่างไร ถือเป็นการทุจริตล็อกผู้รับเหมาล่วงหน้าหรือไม่ กล้าทำผิดกฎหมายแบบเย้ยฟ้าท้าดิน และโครงการที่สองคือโครงการสร้างแท่นประดิษฐานและปรับปรุงภูมิทัศน์โดยกรมยุทธโยธาทหารบกเป็นผู้จัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการคัดเลือก มีบริษัทไอยเรศ จำกัด ชนะการประมูลมาด้วยการเสนอราคา 59,873,500 บาท เมื่อตรวจสอบภาพถ่ายดาวเทียมพบว่ามีการปรับพื้นที่ก่อนบริษัทจะไปเซ็นสัญญาล่วงหน้า 4 เดือน ทำให้เห็นว่ากองทัพล็อกสเปก ทำให้กองทัพเน่าเหม็นไปด้วยการทุจริต เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง”
นอกจากโครงการก่อสร้างบ้านพักรับรองผู้บัญชาการทหารเรือหลังใหม่ พร้อมรื้อถอนบ้านพักหลังเดิมวงเงิน 65 ล้านบาท ก็ไม่ต่างกัน เนื่องจากผู้รับเหมาได้เข้าทำการสร้างคฤหาสน์หลังใหม่ให้กับผู้บัญชาการกองทัพเรือล่วงหน้า 3 เดือน ก่อนจะรู้ผลว่าใครเป็นผู้ชนะการประมูลแท้จริงแล้วเวลาที่มีโครงการก่อสร้างในกองทัพนั้น ได้มีการแอบล็อกผู้ชนะการประมูลกันก่อนเรียบร้อยแล้ว แบ่งกันล่วงหน้าว่างานนี้เป็นของใคร งานนั้นเป็นของใคร จากนั้นก็จ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชาให้พวกนายพลไปตามลำดับชั้น แล้วค่อยทำการการประมูลหลอกๆ กันอย่างที่เห็น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงหนึ่งของการอภิปรายฯ นางอมรัตน์ได้มีการยกกระจกขึ้นระหว่างอภิปราย พร้อมระบุว่า “สุดท้ายที่อยากให้พล.อ.ประยุทธ์ สิ่งนั้นคือกระจกบานนี้ เพราะท่านปิดคอมเมนต์ในเพจเฟซบุ๊ก ชื่อ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha” ซึ่งประชาชนไม่มีสิทธิที่จะสะท้อนความรู้สึกไปยังท่านได้ ตนอยากบอกว่ากระจกบานนี้เวลาที่ท่านชี้หน้าใครบอกว่าก่อความวุ่นวายก่อความไม่สงบให้มองที่กระจกบานนี้ เวลาที่ท่านเที่ยวชี้หน้าใครบอกไม่มีมารยาท ไม่รักชาติให้มองที่กระจกบานนี้ และเวลาที่ท่านว่าใครไม่อ่านประวัติศาสตร์ก็ให้ท่านมองที่กระจกบานนี้ ทั้งหมดคนคือในกระจก”
ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ลุกขึ้นชี้แจงหลังการอภิปรายของนางอมรัตน์ว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาตนได้ใช้โอกาสไปกราบสมเด็จพระสังฆราช เนื่องในโอกาสวันอาสาฬหบูชาถวายธูปเทียนพรรษา และตนก็ได้ขอแบ่งขอมอบให้กับทุกคนด้วย เนื่องในช่วงเวลาอันเป็นมงคลนี้ให้กับทุกคนด้วย เนื่องในช่วงเวลาอันเป็นมงคลนี้กับทุกคนทุกท่าน ก็สุดแล้วแต่ว่าใครจะรับได้รับไม่ได้ก็แล้วแต่ เพราะว่าทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ใครทำกรรมดีย่อมได้รับกรรมดี ทำกรรมไม่ดีก็คงปรากฏต่อไป ตนเองจะพยายามทำอย่างเต็มที่ทำให้ดีที่สุด แต่อาจจะไม่ดีในสายตาของท่าน ก็ไม่เป็นไร
“วันนี้ท่านบอกว่าชื่อของผมมีความหมายนู่นนี่ ก็ไปคิดเอาแล้วกันว่าคำว่า ตู่กับเตี้ย ความหมายเหมือนกันหรือไม่ คงไม่เหมือนกันหรอกนะ แต่ไปดูว่าประโยชน์อะไรใครทำมากกว่า ผมเห็นว่าท่านก็เคลื่อนไหวอยู่ข้างนอกตลอดเวลา ท่านบอกว่าท่านศึกษาประวัติศาสตร์ โอเคครับ ก็ดีครับ ท่านศึกษาประวัติศาสตร์ส่วนที่ดีไว้บ้าง ก็แล้วกันสิ่งที่ท่านทำหลายๆ อย่างก็ปรากฏแล้วว่าเป็นเรื่องของการเกี่ยวข้องกับการก้าวล่วงสถาบันของชาติ ซึ่งผมรับไม่ได้อยู่แล้ว และผมจำเป็นต้องพูด ส่วนในเรื่องกระจก ผมไม่ค่อยได้ใช้กระจก” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
จากนั้นนางอมรัตน์ ได้ลุกขึ้นประท้วงขอใช้สิทธิพาดพิง โดยระบุว่า เมื่อสักครู่ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงตนว่า ”ก้าวล่วงสถาบันตรงไหน และข้อหามาตรานี้ผิด มีโทษร้ายแรง อยู่ดีๆ จะมาปากพล่อยว่าคนอื่นอย่างนี้ได้อย่างไร อย่ามั่ว เที่ยวพูดตีขุมแบบนี้ ก่อนที่ได้ นานชวนหลีกภัย ประธานในที่ปนะชุม จะปิดไมค์ของนางอมรัตน์
ก่อนที่นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงต่อว่า “เวลาท่านพูดอะไรมาทั้งหมด ผมก็ฟังได้ และท่านฟังผมบ้าง ผมไม่ได้ว่าอะไรที่เกินความเป็นจริงเท่าไหร่ ไปดูในคดีต่างๆ มีอยู่หลายคดีเหมือนกัน ก็ไปเตรียมต่อสู้คดีเอาแล้วกัน”
ทำให้นางอมรัตน์ ลุกขึ้นประท้วงอีกครั้งว่า นายกรัฐมนตรีได้พาดพิงโดยขอให้ถอนคำพูดทั้งสองอย่าง โดยระบุว่า มาตรา 112 เป็นมาตราร้ายแรง จะมาเที่ยวป้ายให้ใครแบบนี้ได้อย่างไร นี่ก็เอาเด็กไปเข้าคุกไม่ยอมปล่อยไม่ให้ประกัน อย่ามั่ว ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้พูดสวนกลับมาว่า ตนไม่ได้ป้าย ตนไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับกระบวนการ
นางอมรัตน์จึงลุกขึ้นกล่าวอย่างมีอารมณ์ ว่า ขอให้นายกรัฐมนตรีถอนคำพูด โดยนายกรัฐมนตรีได้สวนกลับว่า “ผมไม่ถอน” ทำให้นายชวน ต้องปิดไมค์ของนางอมรัตน์อีกครั้ง และกล่าวว่า ขอให้ฟังประธาน โดยกล่าวว่า เราอภิปรายเขาก็หนัก เพราะฉะนั้นก็ไม่มีอะไรที่จะต้องถอน โดยขอให้นายกรัฐมนตรีนั้นอภิปรายต่อ และตนคิดว่าดีที่สุดคือเราต้องระมัดระวัง
…