บ๊วยมีแหล่งกำเนิดในจีน เป็นไม้ผลเขตหนาว ระยะหลังได้มีการแพร่กระจายไปหลาย ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เวียดนาม ลาว เมียนมา และไทย
ในประเทศไทยจะมีปลูกในพื้นที่ทางตอนเหนือ เช่น จังหวัดเชียงรายซึ่งส่วนใหญ่เป็นพันธุ์พื้นเมืองเรียกว่าพันธุ์เชียงรายหรือแม่สาย ปัจจุบันมีปลูกเพิ่มมากขึ้นเพราะปลูกง่าย ไม่ต้องการการดูแลเอาใจใส่มากนัก โรคและแมลงรบกวนค่อนข้างน้อย ขณะที่ให้ผลผลิตสูงตามอายุและขนาดของลำต้น ตลอดถึงสภาพดินฟ้าอากาศที่เหมาะสม
บ๊วยเป็นพืชที่ต้องการอุณหภูมิต่ำอยู่ที่ประมาณ 7.2 องศาเซลเซียสหรือต่ำกว่า แบบต่อเนื่องประมาณ 50-100 ชั่วโมง ตามชนิดของพันธุ์ บางพันธุ์ เช่น พันธุ์เชียงรายหรือแม่สายสามารถปลูกได้ในพื้นที่ที่มีความสูง 500 เมตรจากระดับน้ำทะเล เช่น บางแห่งของพื้นที่ราบของจังหวัดเชียงราย แต่ผลจะมีขนาดเล็ก ขณะที่ทางโรงงานแปรรูปต้องการบ๊วยที่มีขนาดใหญ่ โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางผลประมาณ 2 เซนติเมตรขึ้นไป ส่วนพันธุ์ที่มีคุณภาพดีซึ่งนำมาจากต่างประเทศต้องปลูกในพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป
บ๊วยพันธุ์ดีสามารถขยายพันธุ์โดยการเสียบกิ่ง ซึ่งจะต้องเพาะเมล็ดบ๊วยสำหรับทำเป็นต้นตอแล้วนำพันธุ์ดีมาเสียบกิ่งแบบเสียบพลัมในช่วงฤดูพักตัว หรือการขยายพันธุ์ดีโดยวิธีการปักชำก็ได้ ส่วนดินที่เหมาะสมสำหรับการปลูกในประเทศไทยควรเป็นดินที่มีอินทรียวัตถุสูง หน้าดินลึก ในสภาพดินทั่วไปก็สามารถเจริญเติบโตได้เช่นกันเพียงแต่ผลผลิตที่ได้รับอาจจะไม่เหมือนกัน

สำหรับพันธุ์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศและปลูกได้ดีในประเทศไทยก็มีพันธุ์ปิงติง และพันธุ์เจียนโถ เป็นบ๊วยพันธุ์ดีที่นำมาจากไต้หวัน ส่วนพันธุ์บารมี 1 ที่บางแห่งเรียกว่าขุนวาง 1 และพันธุ์บารมี 2 หรือขุนวาง 2 เป็นบ๊วยพันธุ์ที่คัดเลือกที่ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่พันธุ์นี้จะมีขนาดผลใหญ่ และให้ผลผลิตสูง แต่ทั้ง 4 สายพันธุ์นี้เหมาะสมปลูกบนพื้นที่ที่มีความสูงตั้งแต่ 700 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลางขึ้นไป
ระยะปลูกที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 10×10 หรือ 12×12 เมตร หลุมปลูกควรให้มีขนาดความกว้างx ความยาวxความลึก ตั้งแต่ 70 เซนติเมตรขึ้นไปจนถึง 1 เมตร ก้นหลุมใส่หินฟอสเฟตในอัตรา 100-200 กรัม หรือประมาณ 1-2 ขีดต่อหลุม และปุ๋ยคอกจากมูลสัตว์ต่างๆ หรือปุ๋ยหมักที่ย่อยสลายดีแล้วจำนวน 5-10 กิโลกรัมต่อหลุม ผสมคลุกเคล้ากับดินชั้นบนที่ขุดจากหลุมปลูกแล้วใส่ลงไปในหลุมโดยใส่ให้สูงกว่าระดับดินเดิมประมาณ 10-15 เซนติเมตร
ช่วงเวลาปลูกที่เหมาะสมคือช่วงฤดูฝน ระหว่างเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม บ๊วยมีความสามารถทนทานต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี สามารถเจริญเติบโตและให้ผลผลิตได้ในสภาพแปลงที่อาศัยน้ำฝนเพียงอย่างเดียว แต่หากเป็นหน้าแล้งควรรดน้ำอาทิตย์ละครั้ง หรือต้นที่ให้ผลผลิตแล้ว ควรให้น้ำหลังจากออกดอกจนถึง 2 สัปดาห์ หลังเก็บเกี่ยว เพื่อเพิ่มขนาดของผลและป้องกันผลร่วง
ทำการตัดแต่งกิ่งจัดทรงพุ่มให้มีรูปร่างแบบเปิดกลาง โดยหลังปลูก 3-6 เดือน ให้เลือกกิ่งข้างที่ทำมุม 45 องศากับลำต้น สูงจากพื้นดิน 60-90 เซนติเมตร จำนวน 3-4 กิ่ง รอบลำต้นแล้วตัดยอด
การเก็บเกี่ยวผลส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงปลาย
เดือนมีนาคม-เมษายน ขึ้นอยู่กับพันธุ์ที่ปลูกและสภาพพื้นที่และวิธีการแปรรูป และเก็บได้นานหลายปี โดยบ๊วยดองกรอบหรือแช่อิ่ม จะเก็บเกี่ยวเมื่อผิวผลเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเขียวอ่อนหรือเหลืองประมาณ 30-40% ของผิวผล ส่วนบ๊วยดอกสำหรับประกอบอาหาร หรือการดองเหลืองจะเก็บผลเมื่อผิวผลเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองประมาณ 80-100% ของผิวผล
สำหรับราคาผลสุกจะขายได้กิโลกรัมละประมาณ 13-15 บาท โดยเฉลี่ย.