จากกรณี น.ส.โย่ว ซื่อ หัว อายุ 32 ปี สัญชาติจีน เข้ามาเดินท่องเที่ยวในประเทศไทยพร้อมเพื่อน ก่อนเข้าไปเที่ยวภายในผับท็อปวัน ถนนรัชดาภิเษก แขวงและเขตห้วยขวาง กทม. และเสพยาจนช็อกเสียชีวิตคาผับดังกล่าว ก่อนที่เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงของจีน จะเดินทางมาตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตด้วยตนเอง โดยพบว่ามีผู้ต้องหาเกี่ยวข้องทั้งหมดจำนวน 4 ราย ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 ต.ค. มีรายงานว่าคดีดังกล่าว เป็นคดีที่โด่งดังให้ความสนใจในหมู่ “ชาวจีน” เป็นอย่างมาก เนื่องจากพบว่า น.ส.โย่ว ซื่อ หัว อยู่ในแวดวงไฮโซจีน และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้เชื่อว่า น.ส.โย่ว ซื่อ หัว ยังรู้จักกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนอีกหลายคน ซึ่งสาเหตุการตายสร้างความสงสัยให้กับครอบครัวและผู้ใกล้ชิด น.ส.โย่ว ซื่อ หัว เป็นอย่างมาก

จากการสืบสวนของตำรวจ พบว่า น.ส.โย่ว ซื่อ หัว และเพื่อนผู้หญิง อีก 3 คน เดินทางมาจากประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 15 ก.ย. ต่อมากลางดึกวันที่ 16 ก.ย. น.ส.โย่ว ซื่อ หัว พร้อมเพื่อนผู้หญิง 3 คน ได้ไปเที่ยวยังสถานบันเทิงดังกล่าว โดยมีเพื่อนชายชาวจีน ตามมาสมทบด้วย 3 คน ต่อมาพบว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสถานบันเทิงได้นำตัว น.ส.โย่ว ซื่อ หัว ส่งโรงพยาบาลพระราม 9 เนื่องจากมีอาการอาเจียนและช็อกหมดสติ โดยทางแพทย์ได้ลงสาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากพิษของสารเสพติด เนื่องจากตรวจพบสารแอมเฟตามีนในร่างกายปริมาณมากและพบปริมาณแอลกอฮอล์สูง ขณะที่เพื่อนสาวของผู้เสียชีวิตที่มาเที่ยวด้วย หลังเกิดเหตุได้หนีกลับออกนอกประเทศไปแล้ว

‘บิ๊กโจ๊ก’ ฉุน ‘ผกก.’ ปิดเงียบ 1 เดือน คดีสาวจีนเสพยาจนช็อกตายคา ‘ผับดัง’ ย่านรัชดา

นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบว่า วันเกิดเหตุมีพนักงานของสถานบันเทิงดังกล่าว ได้นำคีย์การ์ดของผู้เสียชีวิตไปค้นห้องพักโรงแรมหรูของผู้เสียชีวิตย่านสาทร ขโมยทรัพย์สินและนำเสื้อผ้าและของให้ส่วนตัวของผู้เสียชีวิตไปเผาทำลาย เชื่อว่าเป็นการเผาทำลายพยานหลักฐาน ต่อมาตำรวจได้คุมตัวทั้งหมดดำเนินคดีแล้วในฐานความผิด “ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน และทำให้เสียหายทำลายซ่อนเร้นเอาไปเสียหรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำผิด”

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เปิดเผยอีกว่า ล่าสุดได้สั่งการให้ตำรวจขยายผลผับดังกล่าว มีการนำยาเสพติดเข้าไปใช้ในสถานบันเทิงเพื่อให้บริการลูกค้า หรือ ลูกค้านำเข้ามาเอง และหลังจากนี้จะใช้มาตรการเชิงรุกในการตรวจสอบสถานบันเทิง ห้ามมียาเสพติด ห้ามเด็กต่ำกว่า 18 ปี และห้ามมีอาวุธโดยเด็ดขาด และจะขยายผลไปถึงตัวเจ้าของผับ เพื่อตรวจสอบว่ามีคนไทยเป็นนอมินีหรือไม่

“เบื่องต้นรู้แล้วว่านอมินีของผับเป็นใครที่เป็นกรรมการของผับ รวมถึงจะตรวจสอบว่ามีบัตรประชาชนได้อย่างไร ในกรณีที่คนจีนสวมสิทธิเป็นคนไทย หากพบว่ามีความผิด จะดำเนินการตามกฎหมายทั้งหมด ส่วนการปิดผับ อยู่ระหว่างการวบรวมพยานหลักฐาน หากมีน้ำหนักเพียงพอก็จะสั่งปิดทันที”