เมื่อวันที่ 13 พ.ย. ร.ต.อ.ปรีชา นาคาแก้ว รอง สว.(สอบสวน) สภ.ราษีไศล อ.ราษีไศล ศรีสะเกษ ได้รับแจ้งมีเหตุยิงกันมีผู้เสียชีวิต ที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งในตัว อ.ราษีไศล จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่ ที่เกิดเหตุภายในห้องพัก พบร่างชาย 2 คน เสียเสียชีวิตอยู่บนม้านั่งข้างเตียงนอน ในลักษณะนั่งเอนหลังข้างกัน มีเลือดไหลนองพื้น โดยผู้ตายเป็นตำรวจยศ ร.ต.ท. อายุ 58 ปี รอง สว.ป้องกันปราบปราม สภ.ราษีไศล สภาพศพถูกยิงด้วยปืน ขนาด 9 มม. ซึ่งเป็นอาวุธประจำกาย บริเวณขมับขวาทะลุซ้าย ข้างกายพบอาวุธปืนตกอยู่ข้างตัว อีกรายคือ นายเอ (นามสมมุติ) อายุ 31 ปี อาชีพรับเหมาก่อสร้าง สภาพศพถูกยิงด้วยปืนขนาดเดียวกัน บริเวณแก้มขวา และใต้ตาขวา เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
จากการสอบสวนแม่บ้านรายหนึ่งในรีสอร์ทดังกล่าว ได้ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุแม่บ้านกำลังทำงานอยู่ภายในห้องทำงาน และได้ยินเสียงพูดคุยกันเสียงดังคล้ายทะเลาะกัน สักพักก็ได้ยินเสียงดังคล้ายอาวุธปืน รัวยิง 3 นัด จากนั้นได้เห็น ร.ต.ท.คนดังกล่าว เดินออกมาจากห้อง และยืนอยู่นอกห้องสักพัก ไม่นานก็เดินกลับเข้าห้องไป จากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีก 2 นัด ติดต่อกัน ตอนนั้นแม่บ้านของรีสอร์ท ตกใจมากจนไม่กล้าเข้าดู ก่อนจะตั้งสติได้ และรีบโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ มาตรวจสอบ
![](https://www.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2022/11/IMG_25651113_195341.jpg)
แม่บ้านของรีสอร์ทรายหนึ่ง ให้การว่า ผู้ก่อเหตุได้เปิดห้องพักที่นี่แบบรายเดือน โดยปกติที่ห้องพักนี้ จะชอบมีปากเสียงทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง ไม่รู้เรื่องอะไรบ้าง พอในวันนี้ ช่วงประมาณเวลา 14.00 น. ห้องพักดังกล่าวได้มีปากเสียงกันจน ร.ต.ท. ขับรถออกจากรีสอร์ท แต่นายเอ ได้วิ่งออกมาจากห้องแล้วกระโดดขึ้นหลังรถกระบะได้ทัน แล้วก็ไปด้วยกัน จากนั้นเวลาประมาณ 15.00 น. ทั้งสองคนได้กลับเข้ามาในห้องพักพร้อมกัน และได้เกิดเหตุ ในเวลาประมาณ 15.45 น. จึงได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 3 นัด ก่อนที่ ร.ต.ท. จะเดินออกมาจากห้องพักด้วยสีหน้านิ่งเฉย ก่อนจะกลับเข้าไปในห้องอีกครั้งและมีเสียงปืนดังขึ้นมาอีก 2 นัด ดังกล่าว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อม เจ้าหน้าที่ชุดพิสูจน์หลักฐานจังหวัดศรีสะเกษ ได้เข้าเก็บหลักฐานอย่างละเอียดแล้ว แต่ยังไม่ฟันธงว่าสาเหตุเกิดจากเรื่องใด ซึ่งคาดว่าอาจเกิดปัญหาส่วนตัว หรืออาจจะนัดมาคุยธุรกิจแต่เกิดทะเลาะวิวาทมีปากเสียงกันจนเกิดเหตุดังกล่าว ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจะได้เร่งสืบสวน สอบสวน หาสาเหตุแท้จริงเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป