เมื่อวันที่ 21 พ.ย. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางลงพื้นที่ อ.เมือง จ.นครสวรรค์ เพื่อพบกับ น.ส.ติ๊ก (นามสมมุติ) อายุ 43 ปี หลังจากมีกรณีการร้องเรียนว่า ถูกตำรวจนามสมมุติว่า เอ วัย 27 ปี ยศ ส.ต.ต. สังกัดกองกำกับอารักขาที่ 1 หลอกลวงว่า ตนเองเป็นตำรวจระดับสารวัตรเข้ามาทำความรู้จักตีสนิท จนถึงขนาดหลงเชื่อตกลงใจคบหากันเป็นคู่ชีวิตและกำลังจะมีลูกด้วยกันในเร็วๆ นี้ อีกทั้ง ในระหว่างที่คบหาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน นายตำรวจหลอกลวงนายนี้ ยังมีพฤติกรรมสูบเลือดกินเนื้อ แทนที่จะเลี้ยงดูฝ่ายหญิงสาวให้ได้รับความสุขสบาย แต่กลับกลายเป็นคนสูบเลือดกินเนื้อ ขอเงินฝ่ายหญิงมาใช้ปรนเปรอให้กับชีวิตของตัวเองจนฝ่ายหญิงสูญเงินไปเกือบแสน ซึ่งเรื่องนี้ ฝ่ายของ น.ส.ติ๊ก ได้มีการตรวจสอบประวัติและข้อมูลของนายตำรวจจอมหลอกลวงจนทราบความจริงที่ทำให้รู้ว่า ที่ผ่านมา เธอโดนหลอกมาตลอด เนื่องจากประวัติข้อมูลพบว่า คนที่เธอรักและใช้ชีวิตอยู่ด้วยนั้น เป็นนายตำรวจยศนายสิบ ไม่ใช่เป็นตำรวจ พ.ต.ต. ระดับนายสารวัตรแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม หลังข้อมูลความจริงถูกเปิดเผย น.ส.ติ๊ก จึงได้รวบรวมหลักฐานรูปถ่ายทั้งภาพบัตรปลอมแปลงเป็นข้าราชการตำรวจยศ พ.ต.ต. รวมถึงชุดเครื่องแต่งกายติดยศนายตำรวจระดับสารวัตร และหลักฐานสลิปการโอนให้ให้กับตำรวจจอมหลอกลวงไว้ใช้จ่าย รวมเป็นเงินกว่า 80,000 บาท ไปร้องเรียนถึงพฤติกรรมกับต้นสังกัดของนายสิบตำรวจจอมหลอกลวง จนมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและทางผู้บังคับบัญชาสังกัด ได้มีการลงโทษทางวินัยให้ธำรงวินัยไปแล้ว แต่เนื่องจาก น.ส.ติ๊ก มองว่า การกระทำของตำรวจรายนี้ เข้าข่ายเป็นภัยสังคม และมีผู้เสียหายอื่นๆ เข้ามาเปิดเผยและให้ข้อมูลถึงนายตำรวจรายนี้ ว่า ยังมีการไปหลอกลวงคนอื่นๆ อีก จึงได้ตัดสินใจนำเรื่องมาร้องเรียนต่อสื่อมวลชน ให้ช่วยตีแผ่ความจริงในการเปิดเผยวีรกรรมของตำรวจจอมลวงหลอกรายนี้ ให้สังคมไทยได้รู้

โดย น.ส.ติ๊ก เปิดเผยว่า ตนเองเป็นแม่ค้าตลาดนัด วันหนึ่งได้เจอกับตำรวจเอ ซึ่งได้เดินทำทีเข้ามาพูดคุย บอกว่า ตนเองเป็นตำรวจสารวัตร มาดักซุ่มจับคนร้ายค้ายาเสพติด ซึ่งในวันนั้นตำรวจเอ ได้มีการขอไลน์ไปด้วย และผ่านพ้นไปได้ประมาณ 1 เดือน ก็ทักไลน์พูดคุยด้วยทุกวันนานหลายเดือน จนเกิดความสนิทสนม ตกลงคบหาเป็นสามีภรรยามานานกว่า 9 เดือน กระทั่งขณะนี้ ตนท้องได้ 4 เดือนกว่าแล้ว แต่ตอนแรก แทนที่ตำรวจเอ จะดีใจที่ตนท้อง กลับบอกให้ตนไปทำแท้ง ทำให้ตนเสียใจมาก และยังสงสัยในพฤติกรรมหลายๆ อย่าง เพราะที่ผ่านมา แทนที่สามีเป็นตำรวจระดับยศสารวัตร น่าจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยแบบไม่ลำบาก เพราะต่างคนก็มีงานทำเป็นของตนเอง แต่กลับกลายเป็นว่า ตนต้องส่งเงินให้เขาใช้จ่ายอยู่ตลอด และเขามักจะขออยู่เรื่อยๆ จนต้องเอารถไปเข้าไฟแนนซ์ถึงสองคัน เพื่อหาเงินให้ตำรวจเอมาใช้

“ที่หนูตกลงปลงใจคบหากับตำรวจเอ เพราะคุยกับเขาแล้วสัมผัสได้ว่า เขาเป็นคนอัธยาศัยดี เป็นคนธรรมะธัมโม เอาใจเก่ง อีกทั้ง หน้าที่การงานเขายังเป็นข้าราชการระดับตำรวจสารวัตรด้วย จึงคบหาอยู่กินกันแบบผัวเมีย ที่ยังไม่ได้จดทะเบียน กระทั่งท้อง เขาบ่ายเบี่ยงไม่รับผิดชอบ ไม่ยอมไปพูดคุยกับพ่อแม่ของเขา หนำซ้ำยังเอาเงินมาฟาดหนู 5 หมื่นบาท ให้ไปทำแท้ง จึงทำให้เห็นธาตุแท้ทันที” น.ส.ติ๊ก กล่าว

น.ส.ติ๊ก กล่าวต่อว่า ตนเองจึงเกิดความสงสัยจึงได้ถ่ายภาพต่างๆ เอาไว้ให้เพื่อนไปตรวจสอบ พบว่าเป็นแค่นายสิบ ไม่ใช่สารวัตร นอกจากจะเสียใจที่เขาไม่รับผิดชอบความเป็นพ่อเด็กแล้ว ยังมารู้ว่าตนถูกลวงหลอกเรื่องนี้อีก ทำให้ตนรู้สึกเสียใจเกินจะบรรยาย จึงได้รวบรวมหลักฐานทั้งหมด ร้องเรียนต้นสังกัดเพื่อให้ออกจากราชการ เนื่องจากเป็นแบบอย่างไม่ดี แต่สุดท้ายต้นสังกัดก็ลงโทษแค่ธำรงวินัยสั่งขัง พร้อมกับแนะให้รับเงินชดใช้ค่าเสียหายเพื่อให้จบเรื่องนี้ ตนยอมรับไม่ได้ยืนยันจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ถึงขั้นต้องให้ออกจากราชการตำรวจไปเลย และต้องมาชดใช้หนี้สินและเรื่องลูกในท้องด้วย นอกจากนี้ยังมีเหยื่อผู้เสียหายอีกหลายราย ที่โดนนายตำรวจเอหลอกลวง

อย่างไรก็ตาม ตนอยากฝากเรื่องของตนไว้เป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้หญิง ที่ชอบคนในเครื่องแบบว่า ก่อนจะคบใคร ขอให้เช็กตรวจสอบประวัติคนๆ นั้น ให้ดีก่อนที่จะตกลงใจกันคบหา ไม่ใช่เค้าบอกว่าเขาเป็นใครทำงานอะไร ก็เชื่อเขาไปหมด แล้วจะมาเสียใจทีหลังเหมือนกับตน เพียงเพราะไปหลงเชื่อลมปากกับตำรวจจอมหลอกลวงอย่างเช่น สิบตำรวจลวงหลอกนายนี้ ส่วนเรื่องนี้ ตนยืนยันว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด จะไม่มีการยอมความรับเงินให้จบเรื่อง หรือไปทำแท้งอย่างเด็ดขาด

ทั้งนี้ ในเวลาต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบบ้านของ ส.ต.ต.เอ เพื่อสอบถามข้อมูลความจริงอีกด้าน ซึ่งทราบข้อมูลว่า เจ้าตัวเป็นคน จ.นครสวรรค์ และมีบ้านพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ ต.วัดไทร อ.เมืองนครสวรรค์ พบว่า เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ตั้งอยู่ในพื้นที่โครงการบ้านจัดสรรชื่อดัง แต่จากการตรวจสอบกลับไม่พบว่ามีใครอยู่ภายในบ้านแต่อย่างใด และเมื่อสอบถามกับบรรดาเพื่อนบ้าน ต่างก็ไม่มีใครเผยข้อมูล จึงทำให้ทราบแต่เพียงว่า ส.ต.ต.เอ ได้ออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้าแล้ว.