สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงอัสตานา ประเทศคาซัคสถาน เมื่อวันที่ 21 พ.ย. ว่า ผลอย่างไม่เป็นทางการของการเลือกตั้งประธานาธิบดีคาซัคสถาน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ประธานาธิบดีคาสซิม โจมาร์ต-โทคาเยฟ วัย 69 ปี และครองอำนาจตั้งแต่ปี 2562 ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุน “ถล่มทลาย” 81.31%


แม้คณะกรรมการการเลือกตั้ง เตรียมประกาศผลอย่างเป็นทางการอีกครั้งภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม ทุกฝ่ายเชื่อว่า ไม่มีความเปลี่ยนแปลง เนื่องจากผู้สมัครอีก 4 คน “เป็นเพียงไม้ประดับ” และไม่มีผู้สมัครคนใดได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนถึงสองหลัก ขณะที่สถิติผู้ออกมาใช้สิทธิอยู่ที่มากกว่า 69% จากจำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนนมากกว่า 12 ล้านคน

ชาวคาซัคสถานใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่คูหาแห่งหนึ่ง ในกรุงอัลมาตี


ด้านโทคาเยฟออกแถลงการณ์เกี่ยวกับผลการเลือกตั้งครั้งนี้ สะท้อน “ความเชื่อมั่นของชาวคาซัคสถาน” และขอให้ทุกภาคส่วนยอมรับผลคะแนนที่ออกมา


อนึ่ง สภาผู้แทนราษฎรของคาซัคสถาน มีมติเป็นเอกฉันท์ เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา รับรองกฎหมายขยายระยะเวลาการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี จาก 5 ปี ให้เป็น 7 ปี แต่จำกัดวาระไว้เพียงสมัยเดียวเท่านั้น กล่าวคือ ผู้ดำรงตำแหน่งคนเดิม จะไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้อีก โดยโทคาเยฟกล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคือ “การปฏิรูป” เพื่อ “สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับระบบการเมืองของคาซัคสถาน ที่จะมีความยุติธรรมและเปิดกว้างอย่างแท้จริง”

ประธานาธิบดีคาสซิม โจมาร์ต-โทคาเยฟ ผู้นำคาซัคสถาน แถลงที่กรุงอัสตานา


ทั้งนี้ คาซัคสถาน ซึ่งเป็นประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจมั่งคั่งที่สุดในเอเชียกลาง เคยเผชิญกับการประท้วงมาแล้วหลายครั้งในอดีต แต่การเคลื่อนไหวในระดับรุนแรงและเป็นวงกว้างอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เกิดขึ้นเมื่อเดือน ม.ค. ปีนี้ มีชนวนเหตุจากความไม่พอใจเรื่องราคาเชื้อเพลิงแพง แต่บานปลายกลายเป็นการลุกฮือขับไล่รัฐบาล จนต้องขอความช่วยเหลือจากองค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วม (ซีเอสทีโอ) ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มพันธมิตรทางทหาร ระหว่างอดีตสหภาพโซเวียต ซึ่งคาซัคสถานเป็นสมาชิก ร่วมกับรัสเซีย เบลารุส อาร์เมเนีย ทาจิกิสถาน และคีร์กีซสถาน.

เครดิตภาพ : REUTERS