เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2565 ในงานประชุมสมาคมโรคอัลไซเมอร์นานาชาติที่ซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้มีการนำเสนอผลวิจัย ซึ่งเพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Neurology โดยเป็นหัวข้อเกี่ยวกับผลกระทบของอาหารแปรรูปต่อการทำงานของสมอง 

ผลวิจัยระบุว่า ถ้าหากเทียบจากจำนวนแคลอรีที่เราได้รับจากการรับประทานอาหารแต่ละวันทั้งหมดแล้ว เราได้รับแคลอรีจากอาหารแปรรูปขั้นสูง (Ultra-processed foods) มากเกินกว่า 20% ก็อาจทำให้เรามีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นที่จะป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม

ในกรณีศึกษาของการวิจัยครั้งนี้ พบว่ากลุ่มคนที่บริโภคอาหารแปรรูปขั้นสูงมากที่สุด มีอัตราเสี่ยงที่ระบบการรับรู้จดจำของสมอง จะเสื่อมลงได้เร็วขึ้นถึง 28% เมื่อเทียบกับอัตราเสี่ยงของคนทั่วโลก ขณะที่ถ้าเทียบกับคนที่รับประทานอาหารแปรรูปน้อยที่สุด คนกลุ่มแรกจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มหลัง 25%

อาหารแปรรูปขั้นสูงในการวิจัยนี้ หมายถึงอาหารที่มีการใส่สารอาหารต่าง ๆ ตามสูตรที่ใช้อุตสาหกรรมอาหาร เช่น น้ำมัน, ไขมัน, น้ำตาล, แป้ง และโปรตีนไอโซเลต โดยที่มีปริมาณของอาหารจริง ๆ น้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย นอกจากนี้ยังใส่สารปรุงแต่งและวัตถุเจือปนต่าง ๆ ลงไปด้วย เช่น สารแต่งสีแต่งกลิ่น, สารอิมัลซิไฟเออร์ เพื่อความคงตัวของอาหาร

ตัวอย่างของอาหารแปรรูปขั้นสูงเหล่านี้ ได้แก่ ฮอตดอก, แฮมเบอร์เกอร์, ไส้กรอก, น้ำอัดลม, คุกกี้, ขนมเค้ก, ลูกกวาด, โดนัท และไอศกรีม

ทีมวิจัยได้ติดตามผลจากการบริโภคของกลุ่มตัวอย่างชาวบราซิล มากกว่า 10,000 คน อย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี โดยอายุเฉลี่ยของคนในกลุ่มคือ 51 ปี

การทดสอบระบบความจำที่ใช้ในการวิจัย มีทั้งบททดสอบด้านการจดจำคำศัพท์, อัตราการลืมและจดจำคำต่าง ๆ และความสามารถในการใช้คำพูดตามเงื่อนไข ซึ่งจะมีการทดสอบทั้งในช่วงเริ่มต้นและสิ้นสุดโครงการ ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการ จะต้องตอบคำถามต่าง ๆ ตามลักษณะนิสัยในการบริโภคของตน

ดร.คลาวเดีย ซูเอโมโต ผู้ร่วมเขียนผลงานการวิจัยกล่าวว่า ในประเทศบราซิล สัดส่วนแคลอรีจากอาหารแปรรูปขั้นสูงคิดเป็น 25-30% ของแคลอรีที่ชาวบราซิลได้รับจากอาหารทั้งหมด ในบราซิลมีทั้งร้านแมคโดนัลด์และเบอร์เกอร์คิง เช่นเดียวกับในสหรัฐ และคนบราซิลก็รับประทานช็อกโกแลตกับขนมปังขาวเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับคนอเมริกันและคนในประเทศตะวันตกอื่น ๆ 

จากการศึกษาพบว่า ปริมาณแคลอรีที่ได้รับจากอาหารแปรรูปพิเศษ เมื่อเทียบสัดส่วนกับแคลอรีจากอาหารทั้งหมดของชาวอเมริกัน คือ 58%, ชาวอังกฤษ 56.8% และชาวแคนาดา 48%

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า อาหารแปรรูปขั้นสูงเป็นปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน โรคหัวใจและระบบหมุนเวียนของโลหิต โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง รวมถึงทำให้อายุขัยสั้นลง

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ถ้าผู้ที่รับประทานอาหารแปรรูปต้องการลดความเสี่ยงเหล่านี้ ควรเพิ่มอาหารที่มีคุณประโยชน์สูง เช่น ผลไม้ ผักและธัญพืช เข้าไปด้วย และถ้าเป็นไปได้ ก็ควรปรุงอาหารรับประทานเองมากกว่าซื้อจากร้าน ซึ่งใช้วัตถุดิบที่ผ่านการแปรรูป

แหล่งข่าว : foxnews.com

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES