เมื่อวันที่ 19 ม.ค. เวลา 10.30 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบายพรรคเสรีรวมไทย พร้อมนายวีระ สมความคิด ยื่นหนังสือให้กกต.ตรวจสอบกรณีการจัดประชุมใหญ่ของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ว่ามีการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่

นายสมชัย กล่าวว่า ในวันนี้มายื่นให้ กกต.ตรวจสอบ โดยมีหลักฐานเป็นคลิป 8 คลิป ภาพถ่าย 19 ภาพ และพยานบุคคล 1 คน ซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรค และเอกสารคำร้อง 26 หน้า เพื่อขอให้ กกต.ตรวจสอบใน 5 ประเด็น โดยประเด็นที่ 1 คือการใช้รถหรือยานพาหนะ รถบัส หรือรถตู้มากกว่า 100 คัน ขนคนข้ามจังหวัด มาฟังการปราศรัยในวันที่ 9 ม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งในกฎหมายเลือกตั้งระบุว่า การใช้ยานพาหนะขนคนไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันเลือกตั้งถือว่ามีความผิด แต่ในประเด็นนี้การขนคนไปฟังการปราศรัย ไม่ได้มีการระบุไว้อย่างชัดเจน จึงจำเป็นขอให้ กกต.วินิจฉัย ในประเด็นนี้เนื่องจากการขนคนก็ถือว่าเป็นการให้ประโยชน์ ที่สามารถตีมูลค่าเป็นเงินได้ เพราะการขนคนจากต่างจังหวัดมากรุงเทพฯ ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่ง อีกทั้งยังมีความสงสัยว่าอาจจะมีการจัดเลี้ยง เช่น ข้าวกล่อง น้ำดื่ม หรือการจ่ายค่ายานพาหนะ ค่าเสียเวลาในการมาฟังการปราศรัยหรือไม่

ประเด็นที่ 2 การแจกเสื้อ หมวก และธง เพื่อใช้ในการปราศรัยและไม่เรียกคืน สามารถทำได้หรือไม่ โดยตรวจสอบแล้วพบว่ามีการแจกประมาณ 4 พันชุด มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท แม้ที่เสื้อจะเขียนว่าเป็นทรัพย์สินของพรรค แต่เมื่อเสร็จกิจกรรมก็ไม่มีการเรียกคืนทุกคนนำกลับไปที่บ้าน ซึ่งเรามีหลักฐานแจกเสื้อ แจกหมวกในห้องประชุม และยังมีพยานบุคคลที่พร้อมเป็นพยานยืนยันว่า เขาไม่ใช่สมาชิกพรรคได้รับการแจกเสื้อ แจกหมวกจริง ไม่มีการเรียกคืน สามารถนำกลับไปได้ ถือเป็นหลักฐานพยานบุคคล

ประเด็นที่ 3 การจัดมหรสพการนำศิลปินระดับชาติ นายชัชชัย สุขขาวดี หรือ “หรั่ง ร็อคเคสตร้า” มาขึ้นเวทีปราศรัยมาช่วยในการหาเสียงร้องเพลงของพรรค 3 เพลง ในช่วงของการพักเบรคการประชุม แม้ไม่ใช่เพลงมหรสพหรือบันเทิงสามารถทำได้หรือไม่ เพราะในเชิงปฏิบัติแม้เราเคยบอกว่าให้หลีกเลี่ยงการที่นำศิลปินมาเดินช่วยหาเสียงไม่สามารถทำได้ แต่กรณีนี้การนำศิลปินขึ้นมาบนเวที ก็จะเข้าข่ายมหรสพ

ประเด็นที่ 4 การปราศรัยของนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี สมาชิกพรรครทสช. มีการกล่าวถ้อยคำหยาบคาย รุนแรง พาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในทางที่ไม่เหมาะสม ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดต่อระเบียบการหาเสียงของ กกต.อย่างชัดเจน

ประเด็นที่ 5 เกี่ยวกับการจัดประชุมใหญ่วิสามัญของพรรค รทสช. โดยจากการดูป้าย จากการกล่าวการปราศรัยของหัวหน้าพรรคก็ดี ได้ระบุว่าวันไหนเป็นประชุมวิสามัญของพรรค แต่หากติดตามรายละเอียดการประชุมในวันนั้น จะไม่มีการลงชื่อของผู้เข้าร่วมประชุม ไม่มีการประชุมตามวาระ เช่นประธานกล่าวเปิดประชุม มีการพิจารณาเป็นวาระ หรือแม้กระทั่งการลงมติที่จะเลือกกรรมการสรรหานั้นก็ไม่มีการปรากฎให้เห็นถือว่าเป็นการจัดประชุม ซึ่งอาจจะไม่จริง เพียงแต่ว่าใช้ชื่อการประชุมเพื่อบังหน้า เป็นการจัดประชุมเพื่อหาเสียง

“อยากให้ กกต.มีคำวินิจฉัยใน 5 ประเด็นที่ชัดเจน หากวินิจฉัยว่าสามารถทำได้ก็จะเป็นบรรทัดฐานให้กับพรรคการเมืองอื่นๆทำได้เช่นกัน หากไม่สามารถทำได้กกต.ต้องมีมติส่งต่อไปยังศาลฎีกา เพื่อให้มีคำพิพากษาในคดีดังกล่าว และลงโทษตามกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งมองว่าเป็นความผิดในมาตรา 73 (1) ถึง (5)ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ซึ่งกำหนดโทษพรรคการเมือง ผู้สมัคร กรรมการบริหารพรรค หรือผู้หนึ่งผู้ใด กระทำความผิดจำคุก 1-10 ปี ปรับ 2 หมื่นถึง 2 แสน และแต่สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา 20 ปี”

นายสมชัย ยังกล่าวอีกว่า หากมองว่าการยุบสภาคดีดังกล่าวจะสิ้นสุดลงไม่ถือว่าเป็นความผิด แต่ขอเตือน กกต.ว่าในกฎหมายที่เขียนไว้เรื่องของการรับค่าใช้จ่ายชัดเจนว่า หากยุบสภาการนับค่าใช้จ่ายในการหาเสียงจะเริ่มนับตั้งแต่มีกฤษฎีกาให้ยุบสภา คือรีเซ็ตค่าใช้จ่าย แต่ในของคดีความเป็นเรื่องที่ กกต.ต้องวินิจฉัยว่าจะเดินหน้าต่อหรือไม่ หาก กกต.วินิจฉัยว่าจะเดินหน้าในคดีนี้ต่อ ก็เดินหน้าต่อไป แต่หาก กกต.ไม่เดินหน้าต่อ กกต.จะมีปัญหา เพราะจะถือว่าตัดสินเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อพรรคการเมืองบางพรรคหรือไม่ ซึ่งการตัดสินเช่นนี้เคยมีบทเรียน ใน กกต.ชุดที่ 2 ถึงขั้นติดคุก และพ้นจากตำแหน่งยกชุด

ดังนั้นจึงอยากให้ กกต.คิดให้ดีว่าแม้จะมีการยุบสภา คดีจะต้องไม่สิ้นสุดต้องเดินหน้าต่อไป หรือระหว่างนี้ก่อนที่จะถึงช่วงยุบภสา หรือเลือกตั้งก็ต้องแสดงความกระตือรือร้นในการทำคดี ไม่ใช่รับเรื่องนี้เข้ามาและมีการสอบอย่างล้าช้า รอให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นก่อน คนก็จะลืมไป ถือเป็นการจงใจให้เกิดความล้าช้า จนเป็นเหตุให้พรรคใหญ่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้ ซึ่งเป็นข้อหาในคดีที่ศาลเคยมีคำสั่งว่า กกต.ผิด เนื่องจากล่าช้า ทั้งนี้ตนมั่นใยพยานหลักฐานที่มอบให้ เหมือนอาหารปรุงให้เสร็จพร้อมให้ท่านเคี้ยว ถ้าท่านวางเฉยอยู่บนโต๊ะก็จะมีปัญหาได้

ทางด้าน นายวีระ กล่าวว่า เราได้นำหลักฐานที่เป็นเสื้อ และหมวกที่ประชาชนที่เข้าในงานวันนั้นแล้วได้รับแจก ซึ่งเขาไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคนี้เลย เรื่องนี้ทางเราจะให้เวลากับ กกต.ไม่เกิน 1 เดือน แล้ว กกต.ต้องมีความชัดเจนในการวินิจฉัยในข้อร้องเรียนนี้ เพราะถือว่าไม่ได้มีความยากเย็นอะไรเลย แต่ถ้า กกต.ไม่ดำเนินการอะไรเลยเราเองก็จะดำเนินการตามกฎหมายกับเจ้าหน้าที่ กกต. ที่อาจจะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ย้ำว่าไม่เกิน 1 เดือน ถ้า กกต.ยังเพิกเฉยไม่ทำอะไรเลยเราจะดำเนินคดีกับ กกต. ทั้งนี้ สำหรับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 จะเริ่มตั้งแต่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ในวันนี้เรายื่นเรื่องให้กับ กกต. และ กกต.ออกเลขรับเรื่องแล้วถือว่า กกต.รับรู้แล้ว ถ้ากกต.ละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เรื่องนี้อายุความมันยาวไป 15 ปี ถ้าอยากจะท้าทายกฎหมาย อยากลองของก็เอาเลย ไปสู้กันในศาล.