เมื่อวันที่ 31 ม.ค. นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) ที่มี น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมเมื่อเร็ว ๆ นี้นั้น ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างประกาศว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการการเบิกจ่ายเงินอุดนหนุค่าอาหารกลางวันของโรงเรียนเอกชน เพราะมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อปีที่ผ่านมาได้เห็นชอบการปรับเพิ่มเงินค่าอาหารกลางวันให้แก่นักเรียนทุกสังกัด โดยจะเป็นการเพิ่มแบบขั้นบันไดตามอัตราใหม่อีก 103 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของโรงเรียนเอกชนเรามีข้อจำกัด เพราะมีโรงเรียนเอกชนหลายประเภท ดังนั้นการกำหนดแนวทาการปรับเพิ่มเงินค่าอาหารกลางวันที่ชัดเจนตามขนาดของโรงเรียนจำเป็นจะต้องออกร่างประกาศดังกล่าวให้มีผลบังคับใช้ ส่วนการเบิกจ่ายเงินค่าอาหารกลางวันจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค. 66 เป็นต้นไป  

เลขาธิการ กช. กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ รมว.ศึกษาธิการ ยังกำชับให้ดูแลเรื่องใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูของครูโรงเรียนเอกชนที่คุรุสภาได้ปรับให้มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูใหม่เป็น 3 ระดับ คือ 1.ใบรับรองการปฏิบัติการสอน (Provisional Teaching Certificate) 2.ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูชั้นต้น หรือ B-license (Basic Professional Teaching License) สำหรับผู้ที่ได้ B-license แล้วเมื่อพัฒนาตัวเองจนได้รับวิทยฐานะระดับชำนาญการขึ้นไปจะได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูชั้นสูงโดยอัตโนมัติ และ 3.ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูชั้นสูง หรือ A-license (Advanced Professional Teaching License) ซึ่งในประเด็นนี้ส่งผลกระทบกับครูเอกชน เพราะครูภาครัฐจะมีวิทยฐานะชำนาญการอยู่แล้วสามารถใช้เทียบได้เลย แต่ขณะที่ครูเอกชนไม่มีระบบวิทยฐานะ ดังนั้นที่ประชุมจึงมีมติตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูแลเรื่องนี้ โดยคุรุสภาให้แนวทางและกรอบการจัดทำเกณฑ์การเทียบเคียง เพื่อที่ครูเอกชนจะได้ไต่ระดับได้วิทยฐานะชำนาญการเหมือนกับครูของภาครัฐ ซึ่งจะรวมไปถึงครูผู้สอนชาวต่างชาติด้วย.