สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนครลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 24 ส.ค.ว่าข้อมูลตอนหนึ่งจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ( ซีดีซี ) เกี่ยวกับการติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในเขตลอสแอนเจลิสของรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในสหรัฐ เพื่อวิเคราะห์เกี่ยวกับความจำเป็นของการฉีดวัคซีนเข็มที่สาม เพื่อเป็น "บูสเตอร์" หรือกระตุ้นภูมิคุ้มกัน 
ทั้งนี้ ซีดีซีอาศัยกลุ่มตัวอย่างใเขตลอสแอนเจลิสมากกว่า 43,000 คน อายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป มีประวัติการเป็นผู้ป่วยโรคโควิด-19 ระหว่างเดือน พ.ค.ถึงวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏว่า 25.3% หรือ 10,895 คน เป็นผู้ที่ฉีดวัคซีนครบแล้วแต่ติดเชื้อ ซึ่งเรียกว่า "เบรกธรู เคส" ( breakthrough case ) 1,431 คน หรือ 3.3% เป็นผู้ติดเชื้อซึ่งฉีดวัคซีนแล้ว 1 เข็ม และอีก 30,801 คน คิดเป็น 71.4% เป็นผู้ป่วยซึ่งยังไม่เคยได้รับวัคซีน
สถิติดังกล่าวเป็นการย้ำเตือนประชาชนว่า แม้ฉีดวัคซีนครบแล้วยังคงมีโอกาสติดเชื้อและล้มป่วยจากโรคโควิด-19 อย่างไรก็ดี การฉีดวัคซีนยังคงสามารถป้องกันอาการป่วยหนักได้ โดยข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างเดียวกัน ปรากฏว่า มีเพียง 3.2% ของผู้ป่วยที่ผ่านการฉีดวัคซีนแล้ว ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล จากจำนวนดังกล่าวมีเพียง 0.25% ต้องสวมเครื่องช่วยหายใจ และมีเพียง 0.05% ต้องเข้ารับการรักษาในห้องไอซียู
เปรียบเทียบกับผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนแล้วล้มป่วย ปรากฏว่า 7.5% ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ในจำนวนนี้ 1.5% ต้องเข้ารับการรักษาในห้องไอซียู และ 0.5% ต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะทางเพื่อช่วยในการหายใจ
ส่วนค่าเฉลี่ยประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ต่อเชื้อเดลตา ในช่วงที่มีการรวบรวมข้อมูล ลดลงจาก 91% ลงมาอยู่ที่ 66%.

เครดิตภาพ : AP