สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เผยผลประกอบการในไตรมาส 2 สิ้นสุด 31 ธ.ค. พลิกกลับมามีกำไรสุทธิ 6.3 ล้านปอนด์ เมื่อเทียบกับที่ขาดทุน 1.4 ล้านปอนด์ ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าเนื่องจากรายได้เชิงพาณิชย์ที่สูงขึ้นและค่าจ้างที่ลดลง (1 ปอนด์ = 42 บาท)

อย่างไรก็ตาม รายรับลดลงเกือบ 10% เหลือ 167 ล้านปอนด์ โดยรายรับการค้าเพิ่มขึ้นมากกว่ารายได้จากการถ่ายทอดสดและรายได้ในวันแข่งขันที่ลดลงเนื่องจากมีเกมในบ้านน้อยกว่าในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และยูไนเต็ด เผยว่า การขายตั๋วฤดูกาล 2022/23 ทะลุสถิติเดิมของปี 2016/17 โดยมียอดขายตสะสม 2.3 ล้านใบ และประกาศแล้วว่าจะขึ้นราคาตั๋วประมาณ 5% สำหรับฤดูกาลหน้า

กระนั้นสถานะการเงิน ยูไนเต็ด มีหนี้สินรวม 969.6 ล้านปอนด์ หรือราว 41,000 ล้านบาท จากหนี้สินรวม จากการกู้ยืมธนาคาร และค่าธรรมเนียมการซื้อนักเตะ ซึ่งเป็นตัวเลขเพิ่มขึ้นมา โดยหนี้เงินต้นคิดเป็น 535.7 ล้านปอนด์ ในขณะที่ปีก่อนยอดหนี้ 477.1 ล้านปอนด์ นอกจากนี้ ยังดึงเงินอีก 206.2 ล้านปอนด์จากวงเงินกู้ บวกกับอีก 227.7 ล้านปอนด์ ที่ยังค้างอยู่ในค่าโอนย้ายนักเตะ ส่วนเงินสดมีอยู่ 31 ล้านปอนด์

ตระกูลเกลเซอร์เจ้าของชาวอเมริกัน อยู่ระหว่างขายสโมสรได้รับการเสนอราคาจาก ชีค จัสซิม บิน ฮาหมัด อัล-ธานี, มหาเศรษฐีชาวอังกฤษ เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ และ โธมัส ซิลเลียคัส นักธุรกิจชาวฟินแลนด์ แต่สโมสรไม่ได้แจ้งความคืบหน้าเพิ่มเติมในรายงานประกาศงบ