น.ส.กุลธิรัตน์ ภควัชร์ไกรเลิศ นายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย (สมาคมอีคอมเมิร์ซไทย) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เทค อี-บิสสิเนส เซ็นเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยในปี 66 คาดว่าจะมีการเติบโตอีก 13-15% หรือมีมูลค่าประมาณ 9.2 แสนล้านบาท จากปีที่แล้วมีมูลค่า 8 แสนล้านบาท โดยการแข่งขันด้านราคาและโปรโมชั่น จะไม่รุนแรงเหมือนช่วงที่ผ่านมา หลังตลาดเหลือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่เพียง 2 ราย ซึ่งทั้ง 2 ราย ก็เริ่มจะมองถึงการทำธุรกิจให้มีกำไร หลังจากช่วงที่ 10 ปีที่ผ่านมา ได้ทุ่มงบประมาณจำนวนมากในการทำตลาดและโปรโมชั่น

“การเหลือแพลตฟอร์มรายใหญ่ เพียงสองราย และอาจมีการขึ้นค่าธรรมเนียมในช่วงที่ผ่านมา ทางร้านค้าควรจะพัฒนาช่องทางขายออนไลน์ของตนเองควบคู่ เพื่อเป็นการสร้างช่องทางขายที่หลากหลาย ไม่พึ่งพิงแพลตฟอร์มใหญ่เพียงอย่างเดียว ส่วนผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซของไทย การแข่งขันกับรายใหญ่อาจจะทำได้อยาก จึงหันมาพัฒนาโซลูชั่น และระบบหลังบ้าน ให้บริการแบบครบวงจร รองรับการชำระเงิน การส่งสินค้า บริการหลังการขาย เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้จากหลายช่องทางในระบบนิเวศของอีคอมเมิร์ซ เพื่อให้อยู่ในตลาดได้”

น.ส.กุลธิรัตน์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ทางสมาคมฯ ยังได้ร่วมมือกับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในการทำโครงการ ไลฟ์ คอมเมิร์ซ ยัง สมาร์ต เทรดเดอร์ ออนไลน์ เพื่อช่วยให้คนไทย ขายสินค้าออนไลน์ทางโซเซียลมีเดียมากขึ้น มีเป้าหมายจำนวน 1,000 คน และร่วมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ในการสร้างคอนเทนต์ ครีเอเตอร์ และ อินฟูเอนเซอร์ เพื่อให้มีทักษะในการขายสินค้าออนไลน์ จากนั้น สมาคมฯ จะส่งไปช่วยผู้ประกอบการในการขายสินค้าและมีส่วนแบ่งจากยอดขายให้ โดยตั้งเป้าหมายจำนวน 20,000 ราย ในช่วง 2 ปีต่อจากนี้

ด้านนายธนาวัฒน์ มาลาบุปผา นายกกิตติมศักดิ์ และที่ปรึกษาสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย กล่าวว่า สมาคมฯ กำลังตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ ในรูปสตาร์ทอัพ โดยได้รับการสนับสนุนเงินลงทุน หรือ วีซี จาก ดีป้า  เพื่อทำบิ๊ก ดาต้า ด้านอี-คอมเมิร์ซ ลงลึกแบบรายผลิตภัณฑ์ถึงพฤติกรรมการซื้อของออนไลน์ของผู้บริโภค ซึ่งข้อมูลที่ได้ จะสามารถรายงานผลออกมาได้แบบรายวัน เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เพื่อเป็นประโยชน์ให้เอกชนสามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภค ขณะที่ภาครัฐเองก็จะสามารถนำข้อมูลการใช้งานอีคอมเมิร์ซของคนไทย ไปวิเคราะห์เพื่อวางแผนหรือรู้พฤติกรรมได้แบบเรียลไทม์ คาดว่าจะเปิดตัวภายในกลางปีนี้

“ภาพรวมตลาดอีคอมเมิร์ซในปีนี้น่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 13-15% เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มคุ้นเคยกับการซื้อของออนไลน์ ไม่เว้นแม้แต่ของใช้ในชีวิตประจำวัน และการสั่งอาหาร และพบว่ายอดการซื้อแต่ละครั้ง มีจำนวนมากขึ้น แม้กระทั่งรถเทสล่า ผู้บริโภคก็กล้าซื้อของผ่านออนไลน์ โดยหน้าร้านจะทำหน้าที่เพียงการเข้าไปสัมผัส เห็นของจริง ส่วนการซื้อจะหันมาซื้อในช่องทางออนไลน์แทน เพราะได้ราคาที่ดีกว่า ขณะเดียวกัน เจ้าของสินค้า ก็หันมาเปิดช่องทางขายออนไลน์เพิ่มขึ้นเกือบทุกแบรนด์ เพื่อเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น จากเดิมที่ขายผ่านออฟไลน์อย่างเดียว” นายธนาวัฒน์ กล่าว