ผงาดความปังเป็นนักร้องระดับดีว่าตัวแม่สาว แก้ม-วิชญาณี เปียกลิ่น เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และส่งพลังเอนเนอร์จี้ให้แฟนๆ และทุกคนแต่เบื้องหลังภายในจิตใจ สาวแกร่งคนนี้กลับมีบาดแผลในใจจากคำด่าในโลกออนไลน์ จนแก้มถึงกับต้องไปพบจิตแพทย์ ซึ่งแก้มเปิดใจในรายการวันบันเทิง Talk แบบจัดเต็ม

“ยอมรับว่าคำพูดคนอื่นมันกระทบเรามากอย่างเช่น ร้องแต่โชว์พลัง ตะโกนอย่างเดียวเลย มันทำให้เราคิดว่า เฮ้ย งั้นเราต้องปรับปรุงตัว ทุกคำพูดเมื่อก่อนตอนที่เราเป็นเด็กๆ คือแก้มจะสามารถเปลี่ยนมาเป็นพลังในการผลักดันตัวเอง เราจะทำให้เขาเห็นว่าเราทำสิ่งนี้ได้ เราภูมิใจที่เราได้มาแต่กว่าจะทำได้มันมีช่วงต้องให้กำลังใจตัวเองเยอะมาก แม่ต้องปลอบแก้มทุกครั้ง และมันถึงจุดที่แก้มบอกแม่ว่าลูกไม่อยู่วงการแล้วได้ไหม เรื่องเหตุการณ์ถูกกดให้ต่ำไหม มีค่ะ จริงๆ ต้องบอกว่ามันสะสมมา จากตัวเราด้วยและจากที่เราแคร์คำพูดของคน ตัวเรานี่โดนตลอดเลย เรื่องที่ว่าไม่มีอารมณ์ร่วมในการร้องเพลง เน้นร้องตะโกนอย่างเดียว โดนด่าจนหนูอ่านไม่ไหว ซึ่งทำให้เราเครียดมาก และรู้สึกผิดกับตัวเองมาก และรู้สึกผิดกับคนที่เขารู้สึกอย่างนั้นกับเราด้วยว่าทำไมเขาไม่มีความสุข เรานึกว่าเขาฟังเราร้องเพลงแล้วเขาจะมีความสุข แต่กลายเป็นว่าเราไปสร้างความทุกข์ให้คนอื่น”

“เราเป็นคนคิดมาก ก็คิดจนมันวน จากเมื่อก่อนเราสามารถดึงความภูมิใจของตัวเองกลับขึ้นมาได้ แต่พอช่วงหลังๆ มันช่วยแก้มไม่ได้แล้วมันรู้สึกไม่อยากเจอใคร รู้สึกเราไม่ดีพอ คือหนูเห็นตัวเองเป็นก้อนดำๆ มันไม่รู้จะไปทางไหนเลย อย่าเข้าใกล้ฉันเลย ฉันไม่ดี ฉันสกปรกมาก กลัวคนอื่นรู้สึกไม่ดีเวลาอยู่ใกล้ พี่เข้าใจไหมว่าคนมองตัวเองเป็นขยะ เวลาหนูไปเจอน้องแฟนคลับแล้วเขาน้ำตาไหลเพราะรู้สึกว่าปกติหนูไม่ได้เป็นแบบนี้ เรารู้สึกไม่อยากให้เขารู้ว่าเราไม่ไหว เราก็พยายามทำทุกทางเพื่อที่จะให้ผ่านแต่ละงานไปได้อย่างเต็มที่ ซึ่งบนเวทีเราทำเต็มที่ รู้สึกถึงขนาดว่า ยิ้มอยู่แต่ไม่รู้สึกว่ายิ้ม รู้สึกถึงขนาดว่าร้องไห้ไม่ออก และถ้ารู้ว่าหนูเป็นในช่วงไหนแล้วจะตกใจ เราไปออสการ์ ช่วงเพลง “รักไปทำไม” หนูร้องเพลงนี้แล้วหนูรู้สึกผิดกับตัวเองทุกครั้งว่า ฉันยังรักตัวเองไม่ได้เลย ทั้งที่มันเป็นเพลงที่แฟนคลับแฮปปี้มากที่ได้ฟัง คือคนฟังเพลงนี้คือแบบ เฮ้ย แก้มสไตล์ใหม่ เรารู้สึกแย่มากที่ต้องร้องเพลงนี้ให้กับคนที่เขาอยากได้รับความหวังจากเรา ได้รับพลังจากเรา เราไม่มีพลังออกมาให้เขาแบบจริงๆ เรารู้สึกว่าตัวเองแย่มาก ฉันไม่มีอะไรดีเลย ฉันทำอะไรก็ผิด ผิดไปหมด ผิดจนไม่อยากออกจากบ้าน ไม่อยากเจอใคร”

“แก้มไปหาหมอตรวจร่างกายทุกอย่างว่าแก้มเป็นอะไร ทำไมแก้มร้อน หายใจไม่ได้ลึกเหมือนเมื่อก่อน ทำไมแก้มนอนไม่ได้ มันเกิดอะไรขึ้น แก้มส่องกล้องไปตรวจท้อง แก้มทำทุกอย่างเพื่อที่ให้ตัวเองดีขึ้น แม่คือคนที่สำคัญมากๆ ในการที่จะผ่านเรื่องนี้ แม่และคนรอบข้าง พี่ต้น (ผู้จัดการส่วนตัว) พี่เชษฐ์ (คนดูแลศิลปิน) คือเขารู้สึกว่าแก้มไม่ปกติแล้ว แก้มป่วย มันเป็น Anxiety (โรควิตกกังวลทั่วไป) ค่ะ ต่อให้เขาพูดดีต่อเรา ชื่นชมเรา แต่เรารู้สึกว่าเขาโกหก มันมองพลิกด้านแบบนี้เลย ตอนนี้หัวเราะได้ แต่ตอนจะผ่านมาเนี่ย สงสารแม่มากสงสารคนรอบข้างมาก แม่หนูต้องขึ้น-ลงภูเก็ตเพราะหนูไม่เอาใครเลย บางงานหนูจะไม่ลงจากรถไปร้องเพลงด้วยซ้ำ ตอนไปออสการ์ รู้สึกภูมิใจ การได้ไปออสการ์มันช่วยฮีลเราได้ในระดับนึง แต่เราก็รู้สึกผิดที่ข้างในเราไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ที่ควรจะเป็น เรารู้สึกว่าตัวเราป่วยแล้วเราดีพอแล้วเหรอ พี่เขาจะผิดหวังไหม กลัวคนผิดหวัง ที่ออสการ์คือเราดีขึ้นแล้ว แต่เราโฟกัสได้ทีละอย่าง เพราะไปพบคุณหมอแล้ว ก็โฟกัสการทำตรงนี้อย่างเดียวเลย ฉันจะต้องทำให้คนไทยภูมิใจ ฉันเป็นตัวแทน เอลซ่า ประเทศไทย”