เมื่อวันที่ 12 พ.ค. ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชน ศูนย์กีฬาไทยญี่ปุ่น-ดินแดง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล กล่าวปราศรัยโดยแนะนำตัวว่า เรียนพี่น้องที่เคารพทั้งหลาย ผมพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ คนต่อไปของประเทศไทยครับ วันนี้ เวลาของพวกเราได้มาถึงแล้ว คำตอบสุดท้ายกาก้าวไกลทั้งแผ่นดิน เหลือเวลาอีกเพียงสองวันที่เราทุกคนจะร่วมกันขีดเขียนประวัติศาสตร์การเมืองไทย กาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม วันนี้ผมพร้อมแล้วที่จะเป็นนายกฯ ของคนไทยทุกคน ให้ทุกคนสามารถฝากความหวังและความฝันกับผมได้ ตอนนี้ขอแนะะนำเพื่อนรักของผม คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช วันนี้คบเพลิงอยู่ในมือของผม ผมจะไม่มีวันให้มันดับ เราจะเดินหน้าทำความฝันของเราให้เป็นจริง และรอคอยให้พวกคุณกลับมา และผมขอไม่มาก ขอเป็นนายกฯ 2 สมัยก็พอ 

นายพิธา กล่าวว่า ความฝันของเราคือความเรียบง่าย เป็นเรื่องอากาศ ดิน น้ำ ลม และไฟ ในวันที่คุณเกษียณ รัฐบาลจะดูแลคุณมากกว่าแค่ไข่ต้มฟองเดียว เราแค่อยากจะเห็นรัฐธรรมนูญใหม่ โดยประชาชน เพื่อประชาชน ต้องการเห็นการกระจายอำนาจที่เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดด้วยตัวเอง 

โดยระหว่างปราศรัย ได้มีคนตะโกนว่า “ส้มรักพ่อ” นายพิธา จึงตอบว่า “พ่อก็รักส้มครับ และพ่อก็รักฟ้าด้วยครับ และพ่อก็รักประชาชนทุกคนด้วยครับ” เรียกเสียงกรี๊ดสนั่นฮอล์ 

นายพิธา กล่าวต่อว่า เมื่อนำความฝันของเรารวมกันก็จะได้เท่านี้ แต่ในขณะเดียวกันข้อจำกัดทางการเมือง มันใหญ่ขนาดนี้ ดังนั้นผู้นำคนต่อไปต้องเป็นนายกฯ ที่พร้อมจะแก้ปัญหาเก่าเผชิญหน้าใหม่ และพร้อมพาประเทศไทยไปสู่อนาคตใหม่ไปด้วยกัน การจะหยุดแช่แข็งประทศได้ นายกฯ คนใหม่ ต้องแก้ปัญหาที่ติดหล่มมา 17 ปี โดยมี 2 ขยัก คือ ขยักแรก คือการยุติวงจรรัฐประหารชั่วนิรันดร์ โดยการปฏิรูปกองทัพให้อยู่ใต้รัฐบาลพลเรือน มีทหารเป็นมืออาชีพ จิ๋วแต่แจ๋ว และขยักที่สอง เราต้องคืนศรัทธาให้ระบบรัฐสภา และระบบประชาธิปไตยของประเทศไทย  

นายพิธา กล่าวว่า เมื่อเราหลุดออกจากหล่มการเมืองได้ เราต้องกล้าเผชิญปัญหาใหม่ได้เช่นเดียวกัน เมื่อมีความคิดใหม่ๆ เกิดขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องปะทะกับความเชื่อแบบเก่าๆ สิ่งที่คนรุ่นใหม่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ คือมรดกตกทอดจากคนรุ่นเก่า จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ที่เวลาปราศรัย ยังบอกเลยว่าออกมาเยอะเดี๋ยวเขาจะล้มล้าง ออกมาเยอะๆ เดี๋ยวเขาจะพังวังแล้ว พระราชฐานะและพระราชอำนาจของสถาบัน ควรอยู่เหนือการเมืองและอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ แต่สิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญอยู่เป็นเพราะคนรุ่นเราไม่ใช่หรือ ที่นำสถาบัน ลงมาโจมตีทางการเมืองตลอดเวลา และยัดคดีมาตรา 112 ให้คนเห็นต่าง ถ้าใครเห็นแล้วรู้สึกโกรธกับสิ่งที่คนรุ่นใหม่แสดงออกมา เราต้องตั้งสติให้ดีว่า เป็นเพราะพวกเราในสมัยก่อน ฉะนั้น นายกฯ คนต่อไปต้องสามารถที่จะเป็นนายกฯ ในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข สามารถวางพระราชอำนาจ และพระราชฐานะอย่างประณีต เพื่อให้ความสัมพันธ์ของสถาบัน และประชาชนดีขึ้นต่างหาก วันนี้ตนพร้อมแล้วที่จะเป็นนายกฯ ของทุกคน คำตอบสุดท้ายชัดเจน ตรงไปตรงมา ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน ประชาชนฝันใหญ่ กาก้าวไกล ไปด้วยกัน.