เตือนภัยสังคม หลังเกิดเหตุหญิงสาวรายหนึ่ง ได้เรียกรถแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชันชื่อดัง แต่คนขับกลับพาออกนอกเส้นทางและข่มขืนเธอ ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาจำคุก 3 ปี ซึ่งเทียบไม่ได้กับบาดแผลทั้งร่างกายและจิตใจของเหยื่อ อีกทั้งยังเกิดความรู้สึกผิดต่อแฟนหนุ่ม ที่ไม่สามารถไปรับเธอได้ จนเกิดเหตุขึ้น

โดยโพสต์ของแฟนหนุ่มของผู้เสียหายได้เปิดเผยว่า “ขอถือว่ามันเกิดจากตัวของผมเอง ที่ไม่เป็นคนรักษาคำพูดและให้ความไว้ใจ ความเชื่อใจกับระบบเกินไป” เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นช่วงปลายปี 65 ของเช้ามืดคืนหนึ่ง แฟนสาวได้นัดเจอเพื่อนโดยเขารับปากว่าจะไปรับ แต่เมื่อถึงเวลาก็ไม่สามารถไปรับได้ เนื่องจากตัวเองได้ดื่มกับเพื่อน เกรงว่าหากขับรถจะเจอด่านและยังเป็นอันตรายกับผู้อื่นบนท้องถนน จึงแนะนำให้แฟนสาวเรียกรถจากแอปพลิเคชันชื่อดัง

“และแล้วเรื่องน่าเศร้าใจก็ได้เกิดขึ้นต่อจากนี้ “คนขับรถนั้นได้รับและขับรถไปจอดในสถานที่มุมมืดที่ติดถนนใหญ่ ได้ทำการกักขังหน่วงเหนี่ยว ข่มขืนกระทำชำเรา ปฏิบัติราวกับพฤติกรรมของสัตว์ ที่ไม่สามารถควบคุมความกำหนัดของตนเองได้” และวันที่ 11 พ.ค. 66 เราได้ไปศาลฯ เพื่อติดตามความคืบหน้า และได้ทราบว่าคดีได้ถูกตัดสินไปแล้ว ตั้งแต่ 14 มี.ค. 66 และสิ้นสุดการอุทธรณ์ 14 เม.ย. 66 โดยผู้ต้องหาได้รับสารภาพ และ “ต้องโทษจำคุกเป็นเวลา 3 ปี” เป็นความโง่เขลา และความรู้น้อยทางกฎหมายของผมเอง ที่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป จนหมดอายุการอุทธรณ์”

สิ่งที่อยากจะพูดถึงเมื่อเหตุเกิดขึ้นแล้ว เราควรทำอะไรก่อน ต้องติดต่อใคร เพราะเรื่องนี้ไม่เคยถูกสอนในโรงเรียนหรือคิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเรา ครั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ ขอให้ตั้งสติให้ดี รวบรวมหลักฐานที่ใช้ติดตามคนร้ายได้ พาตัวเองไปโรงพยาบาลเพื่อการเก็บหลักฐาน พาตัวเองไปแจ้งความกับ สน. ที่เกิดเหตุ ยิ่งเราเดินเรื่องพวกนี้ได้ไวที่สุดเท่าไหร่ ก็จะยิ่งง่ายต่อรูปคดี สำคัญคือต้องรวบสติและกำลังใจให้มากเพื่อที่จะผ่านไปในแต่ละวันหลังเกิดเหตุการณ์ได้ ดูจากการลงมือของคนร้าย ไม่แน่ใจว่าอาจจะเคยก่อเหตุลักษณะนี้หรือไม่? การรู้จักเลือกสถานที่ใช้ลงมือเป็นมุมมืดที่ติดถนนใหญ่ (ถนนศรีนครินทร์ จ.สมุทรปราการ) การที่ไม่สามารถระบุตัวคนขับได้จากข้อมูลทะเบียนรถ* (เป็นเรื่องที่สามารถทำได้หากได้รับการยินยอมจากเจ้าของรถเพื่อการวิ่งงานผ่าน app)

กามารมณ์ เป็นเรื่องธรรมดาที่ฝังอยู่ในรากลึกของจิตใจ แต่ปัญหาของมันคือการควบคุม/การแสดงออกให้ถูกต้องและเหมาะกับกาลเทศะ ถ้าไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้ก็ไม่ต่างจากพฤติกรรมของสัตว์เดรัจฉาน บาดแผลทางจิตใจ เราไม่สามารถมองเห็นได้ว่ามีร่องรอยลึกแค่ไหน การที่ต้องคอยเดินทางรับการรักษา การที่กินยาหลายขนาน การต้องเจาะเลือดที่แขนจนเป็นรอยซ้ำๆ การที่กินไม่ได้ การที่นอนไม่หลับ สะดุ้งตื่นหวาดผวาและมีกำลังใจที่จะผ่านไปในแต่ละวัน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย “ความสุขชั่วคราวของใครบางคน อาจเป็นฝันร้ายของใครอีกคนไปชั่วชีวิต” ไม่อยากให้มีใครโชคร้ายและเจ็บปวดแบบที่เราได้ประสบพบเจอ

นอกจากนี้ ทางด้านเหยื่อสาว เมื่อทราบถึงคำตัดสิน เธอได้ระบายความรู้สึกเอาไว้ด้วยว่า “หนูต้องการให้โทษจำคุกเท่าไหร่?” มันจะ 3 ปี หรือ 10 ปี ตอนนี้ก็ไม่สำคัญกับหนูแล้ว เหมือนเค้าเห็นเราไม่มีค่าไปแล้ว” ในฐานะมนุษย์หญิงคนหนึ่ง หนูผิดอะไรเหรอคะ…ผิดที่หนูเกิดเป็นผู้หญิง หนูผิดที่หนูอ่อนแอสู้ไม่ได้เหรอคะ

กลับไปคำถามบน “ว่าหนูอยากให้เค้าจำคุกเท่าไหร่” หนูอยากให้ได้โทษสูงสุด 20ปี ค่ะ แต่การที่หนูขอไปแล้ว “มันไม่ได้” ก็ขอเป็นประหารได้ไหมคะ “ถ้าคนร้ายไม่ยอมโดนประหาร ก็ประหารหนูไปเถอะค่ะ ทุกวันนี้ หนูอยู่ก็เหมือนหนูตายทั้งที่มีลมหายใจ “ประหารหนูเถอะค่ะ” ถ้าหนูขอแล้วไม่ได้…ก็ไม่เป็นไรค่ะ…” ถ้าเค้าอยากจำคุกแค่ 3 ปี อยากออกมาอยู่กับลูกกับเมียเค้า ก็ไม่เป็นไรค่ะ

“ประหารหนูเถอะค่ะ” หนูอาจจะไปสบายและมีความสุขมากกว่านี้ ไม่ต้องมาหลับตาลงก็เห็นแต่หน้าคุณ ทั้งที่ง่วงมากๆ นอนไม่ได้เลยสักคืน ทั้งๆ ที่ทานยานอนหลับ ทานข้าวไม่ลง ไม่แรงจะเหลือสู้ไหวแล้วค่ะ หนูจะมีกำลังที่ไหนไปสู้คะ “ประหารหนูก็ได้นะคะ ไม่เป็นไรค่ะ”

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่เรื่องราวดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ต่างมีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความเห็นกันเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่ต่างขอส่งกำลังให้กับผู้เสียหาย ขอให้เธอมีกำลังใจที่จะสู้ต่อ พร้อมขอให้เรื่องของเธอสามารถเตือนภัยผู้หญิงอีกหลายๆ คน และหวังว่าโทษคดีข่มขืนจะมีอัตราโทษมากกว่านี้ เพื่อเยียวยาจิตใจและเป็นธรรมกับเหยื่ออีกด้วย..