เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ. พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.4 บก.ปคบ. สนธิกำลัง นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมตรวจค้นคลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่ง ที่มีการโฆษณาคลิปวิดีโอการให้บริการเลเซอร์อวัยวะเพศหญิงโดยไม่มีมีการเบลอวิดีโอลงช่องทางยูทูบ

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. ได้รับการประสานงานจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กรณี ปรากฏคลิปวิดีโอ คลินิกแห่งเวชกรรมหนึ่ง รีวิวการใช้เครื่องเลเซอร์กำจัดขนบริเวณอวัยวะเพศหญิงโดยไม่ได้มีการปกปิด หรือเบลอคลิปวิดีโอก่อนเผยแพร่แต่อย่างใด ซึ่งคลิปวิดีโอดังกล่าว เมื่อดูแล้วส่อไปในทางลามกอนาจาร อันมีลักษณะเป็นการกระตุ้น และยั่วยุอารมณ์ทางเพศของผู้เข้าชมจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ และแพร่หลายจนเป็นกระแสในโลกโซเชียล โดยมีการโพสต์วิดีโอลงช่องทางยูทูบ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการตรวจสอบคลิปวิดีโอดังกล่าว พบว่ามีการใช้เซ็กซ์ครีเอเตอร์รายหนึ่ง ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 5 แสนราย มาทำการถ่ายทำรีวิวการทำเลเซอร์อวัยวะเพศ โดยใช้สถานที่ของคลินิกในการถ่ายทำเพื่อนำไปเผยแพร่ โดยอาศัยยอดผู้ติดตามเซ็กซ์ครีเอเตอร์คนดังกล่าว เพื่อผลประโยชน์ทางการตลาดของคลินิก

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการสืบสวนจนทราบว่า สถานที่ที่ใช้ถ่ายทำ เป็นคลินิกดังย่านแบริ่ง ซึ่งคลินิกดังกล่าวมีหลายสาขาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เช่น สาขาบางนา, สาขาอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, สาขารามอินทรา และสาขาอุดรธานี เป็นต้น ต่อมาได้เข้าตรวจสอที่ สาขาบางนา ถนนแบริ่ง 107 ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ตรวจยึดผลิตภัณฑ์ยาต้องสงสัยว่าจะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 รวมจำนวน 3 รายการ ขณะเดียวกันได้เข้าตรวจค้น สาขาอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซอยอรรณพนฤมิตร ถนนดินแดง แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ ตรวจยึดผลิตภัณฑ์ยา รวมจำนวน 2 รายการ รวมตรวจค้น 2 จุด ตรวจยึดของกลางตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 จำนวน 4 รายการ และ พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 จำนวน 1 รายการ รวมทั้งหมด 5 รายการ โดยจากการตรวจสอบการขออนุญาตการโฆษณาผ่านช่องทางทวิตเตอร์ และยูทูบ ปรากฏว่าคลินิกดังกล่าว ไม่ได้ขออนุญาตโฆษณาตามกฎหมาย

ด้าน นพ.สุระ กล่าวว่า ขอเน้นย้ำให้ผู้ประกอบกิจการสถานพยาบาลเอกชนทุกแห่ง ยื่นเรื่องขออนุมัติโฆษณาสถานพยาบาลทุกครั้งตามที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งจะต้องเข้มงวด กวดขัน มิให้ผู้อื่นมาโฆษณาแทน เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ถูกต้อง และเหมาะสม ด้วยสถานพยาบาลเป็นสถานที่ซึ่งผู้ป่วยให้ความไว้วางใจในการดูแลสุขภาพ ร่างกายของตน หากมีการเผยแพร่ข้อมูลโฆษณาที่ไม่ถูกต้อง หรือใช้ภาพคนไข้ที่อยู่ในอิริยาบถที่ไม่เหมาะสม ส่อไปทางลามก อนาจาร ย่อมสร้างความเข้าใจผิด และส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคได้

นพ.สุระ กล่าวต่อว่า ถึงแม้สถานพยาบาลจะปฏิเสธว่ามิได้มีส่วนรู้เห็น หรือมิได้เป็นผู้โฆษณาด้วยตนเอง แต่ตามกฎหมายพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 กำหนดให้สถานพยาบาลเอกชน ห้ามปล่อยปละละเลยให้บุคคลอื่นโฆษณาสถานพยาบาลแทน ไม่ว่าสถานพยาบาลจะมีส่วนรู้เห็นเป็นใจหรือไม่ แต่หากมิได้มีการทักท้วง ห้ามปราม ก็จะถือว่าเข้าข่ายรู้เห็น ยินยอมให้มีการโฆษณาสถานพยาบาลแทน ซึ่งถือว่าเข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมาย หากประชาชนท่านใดพบเห็นการโฆษณาสถานพยาบาลที่เข้าข่ายเป็นเท็จ โอ้อวดเกินจริง หรือส่อไปในทางลามก อนาจาร สามารถแจ้งเบาะแสการกระทำผิดได้ที่สายด่วน กรม สบส. 1426

ขณะที่ พล.ต.ต.อนันต์ กล่าวว่า ควรศึกษาข้อมูลคลินิกแพทย์ ยาที่ใช้ รวมถึงขั้นตอนการรักษาให้ดีก่อนที่จะเข้ารับบริการรักษา เนื่องจากการรักษาหรือการทำหัตถการต้องกระทำโดยแพทย์ ซึ่งมีทั้งการกระทำต่อร่างกาย หรือมีขั้นตอนและวิธีการรักษาที่ต้องใช้ผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง หรือบางกระบวนการรักษาอาจยังไม่ได้รับการรับรองจากแพทยสภา ซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบหรือเกิดความเสียหายกับร่างกายโดยตรง หากไม่ใช้ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ อาจไม่ได้มาตรฐาน และอาจทำให้สูญเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์โดยไม่เกิดผลทางการรักษาแต่อย่างใด และขอแจ้งเตือนไปยังผู้ที่ลักลอบกระทำความผิด ให้หยุดการกระทำ เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการกวดขัน และจับกุมอย่างต่อเนื่อง หากตรวจพบจะดำเนินคดีโดยเด็ดขาด โดยพี่น้องประชาชนสามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ สายด่วน บก.ปคบ.1135 หรือเพจ ปคบ.เตือนภัยผู้บริโภค

เบื้องต้นได้เตรียมแจ้งข้อหากระทำความผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 มาตรา 38 ฐาน “ร่วมกันโฆษณาหรือประกาศด้วยประการใดๆ เกี่ยวกับการประกอบกิจการสถานพยาบาล โดยไม่ได้รับอนุญาต”, พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 14(4) ฐาน “ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้”, ผู้ทำการหัตถการโดยไม่ใช่แพทย์ในคลิปวิดีโอมีความผิดตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 ฐาน “ประกอบวิชาชีพเวชกรรม โดยไม่ได้รับอนุญาต”, พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 มาตรา 72 (4) ฐาน “ขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา” และ พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 มาตรา 14 ฐาน “ขายเครื่องสำอางที่มิได้จดแจ้ง” โดยพนักงานสอบสวนจะได้เรียกผู้ต้องหาทั้งหมดมาแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป.