เมื่อวันที่ 25 ก.ค. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร.,พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รองผบช.สอท. พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รองผบช.ภ.1 พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข รอง ผบช.ภ.2 พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ รอง ผบช.ภ.8 พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รองผบช.ปส. พล.ต.ต.ชูฉัตร ธารีฉัตร รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.ไพโรจน์ ทานธรรม ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษตร.รรท. รอง ผบช.ตชด. พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท. ร่วมกันแถลงข่าวระดมกวาดล้างอาชญากรรมและอาวุธปืนทั่วประเทศ ตามยุทธการ ล้างบางมือปืน คืนสันติชาวประชา

พล.ต.ท.สำราญ กล่าวว่า สืบเนื่องจาก พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้กำหนดมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมระหว่างวันที่ 1 ก.ค.-30 ก.ย. 66 นั้น ในส่วนของมาตรการป้องกันปราบปราม ทางพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ได้กำหนดให้ทุกหน่วยเพิ่มความเข้มในการบังคับใช้กฎหมายห้วงไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เน้นกลุ่มเป้าหมายความผิดเกี่ยวกับผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน อาวุธสงคราม เครื่องกระสุนปืน และการลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนโดยผิดกฎหมาย และมอบหมายให้ ตนควบคุมการปฏิบัติในภาพรวม สั่งการให้ทุกกองบัญชาการดำเนินการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิด ในส่วนกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ยังได้ส่งเป้าหมายการสืบสวนขยายผลผู้ลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนออนไลน์ ส่งขายให้กับลูกค้าทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกหน่วยเข้าตรวจค้นเพิ่มเติมอีกกว่า 300 จุด ซึ่งหลังจากนี้จะขยายผลอย่างต่อเนื่อง

โดยได้ปฎิบัติการพร้อมกันในวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา 1,658 จุด จับกุมผู้ต้องหา 966 ราย ยึดของกลางอาวุธปืนเถื่อน ไม่มีหมายเลขทะเบียน 811 กระบอก , อาวุธปืน มีหมายเลขทะเบียนซึ่งเป็นของบุคคลอื่น (ปืนผิดมือ) 99 กระบอก,เครื่องกระสุนปืน 44,540 นัด,วัตถุระเบิด 2 ลูก และยาบ้า 6,239 เม็ด ซึ่งเป้าหมายสำคัญที่น่าสนใจคือการที่ สภ.เขาพนม , กก.สส.ภ.จว.กระบี่ และ บก.สส.ภ.8 ได้เข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นบ้าน นายอนุชัย หรือบูม สงวนนามสกุล อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาในคดียาเสพติดและพยายามฆ่า เจ้าพนักงานโดยมีหมายจับติดตัว 3 หมาย หลบหนีมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง ใน ต.หน้าเขา อ.เขาพนม จ.กระบี่ ซึ่งขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำกำลังเข้าตรวจค้นนั้น ผู้ต้องหารู้ตัวและได้ขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีออกไปทางด้านหลังบ้านซึ่งเป็นป่าละเมาะ เจ้าหน้าที่จึงได้ติดตามไป ทันใดนั้นผู้ต้องหาวิ่งสวนออกมาจากที่ซ่อน และใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงยิงตอบโต้ถูกผู้ต้องหาเสียชีวิต ตรวจสอบที่ศพพบ อาวุธปืนพกสั้นยี่ห้อ Mauser ขนาด 9 มม. ตกอยู่ข้างตัว และพบลูกระเบิดชนิดขว้าง M 67 จำนวน 1 ลูก และระเบิดควัน 2 ลูก อยู่ในกระเป๋าสะพายที่ผู้ต้องหาสะพายติดตัวอยู่ พนักงานสอบสวนจึงได้ร่วมกับ พนักงานอัยการ ฝ่ายปกครอง และแพทย์ ร่วมกันชันสูตรพลิกศพ และให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ตรวจสถานที่เกิดเหตุไว้อีกส่วนหนึ่งแล้ว

นอกจากนี้ในส่วนพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 4 ได้เข้าทำการจับกุมผู้ต้องหา นายสมยศ หรือ เอ็ม (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 42 ปี ที่บ้านพักใน ต.ห้วยเกิ้ง อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี ในความผิดฐาน “ทำประกอบ ซ่อมแซม เปลี่ยนลักษณะ สั่งนำเข้า มีหรือจำหน่ายซึ่งอาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืน สำหรับการค้า , มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน , มีและเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย พร้อมตรวจยึดอาวุธปืนดัดแปลงแบบออโตเมติกและลูกโม่ ลำกล้องขนาด 9 มม. , .38 ละ .380 จำนวน 8 กระบอก แม็กกาซีน 17 อัน กระสุนปืนขนาดต่างๆ รวมกว่า 140 นัด ยาบ้า 8 เม็ด และอุปกรณ์พร้อมเครื่องมือที่ใช้ผลิตหรือดัดแปลงอาวุธปืนจำนวนมาก อย่างไรก็ตามทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ความสำคัญในแก้ไขปัญหาอาชญากรรมดยในห้วงที่ผ่านมามีการกระทำความผิดและใช้อาวุธปืนในการก่อเหตุอยู่บ่อยครั้ง ก่อให้เกิดความสูญเสียและความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จึงได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันของหน่วยต่างๆ เพื่อบูรณาการกวาดล้างผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนพร้อมกันทั่วประเทศ สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้เป็นจำนวนมาก

ในห้วงระหว่างวันที่ 1 ก.ค.-21 ก.ค. จับกุมผู้ต้องหา 3,016 ราย ยึดของกลางอาวุธปืนเถื่อน ไม่มีหมายเลขทะเบียน 2,901 กระบอก , อาวุธปืน มีหมายเลขทะเบียนซึ่งเป็นของบุคคลอื่น (ปืนผิดมือ) 219 กระบอก , เครื่องกระสุนปืน 163,380 นัด , วัตถุระเบิด 2 ลูก และยาบ้า 6,239 เม็ด และเชื่อมั่นว่าจะทำให้ความรุนแรงของอาชญากรรมและการกระทำผิดกฎหมายลดลง และฝากประชาสัมพันธ์กับพี่น้องประชาชน ซึ่งหากมีเบาะแส/เรื่องร้องเรียน เกี่ยวกับเรื่องอาชญากรรม หรือเรื่องอื่นๆ สามารถแจ้งได้ที่ สายด่วน 191 หรือ สายด่วน 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง.