เมื่อเปิดดูมีข้อความว่า ’อาจารย์รี่หายไปทิ้งลายแทงไว้แค่หัวใจว้าวุ่นในพงพนา พรานมาด่วนเลยนะ ลงชื่อ ดาริน ปล.จะส่ง ฮ.ไปรับ“ แต่ยังไม่ทันตั้งตัว สายลมพัดแรง ต้นไม้ในสวนหลังบ้านโยกไหว ผมรีบคว้าหมวก ย่าม และของที่จำเป็นวิ่งไปที่สวนหลังบ้านกระโดดขึ้น ฮ. ทันที แต่นี่มันไม่ใช่ ฮ.ทหารแบบที่ผมคุ้นเคย แต่เป็น ฮ.ไฟฟ้า ที่มีใบพัด 4 อัน ดูเหมือนโดรนมากกว่า พอผมจะชะโงกไปคุยกับคนขับก็ไม่เห็นมีใครสักคน แต่จอด้านหน้ามีรูปสาวสวย AI บอกว่าเราจะพาท่านไปที่ทุ่งสง พร้อมแสดงเส้นทางบินว่าจะใช้เวลาบินชั่วโมงกว่า ๆ แถมมีตารางคำนวณ Carbon Footprint แบบ Real Time
ซึ่งหลังจากหลับไปหนึ่งงีบ ที่สุด ฮ.ไฟฟ้าลำนี้ ก็ลงจอดอย่างนิ่มนวล พร้อมเสียงบอกสิ้นสุดการเดินทาง โดยเมื่อผมลงจาก ฮ. ก็ได้มองไปรอบ ๆ ก็พบว่าสิ่งก่อสร้างข้างหน้าซึ่งเงียบเชียบไม่มีคนเลยนั้น ดูเหมือนจะเป็นโรงปูนเก่าที่น่าจะสร้างมาเกือบ 60 ปีแล้ว แต่ไม่ทันไร ก็มียานยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับวิ่งมารับผม โดยระหว่างทางรถวิ่งผ่านเหมืองปูน ที่ผมเห็นก็รู้ทันทีว่า เป็นเหมืองแบบ Semi Open Cut ที่ค่อย ๆ ขุดเป็นชั้น โดยเหมืองแบบนี้ เมื่อมีการระเบิดหินจะช่วยลดเสียงและฝุ่นที่รบกวนชุมชนได้ดี และเมื่อระเบิดหินได้แล้ว ค่อย ๆ ปลูกต้นไม้คืนกลับไปเป็นป่าคิดว่าโรงปูนนี้น่าจะเป็นโรงปูนรักษ์โลกอีกแห่ง

เมื่อรถวิ่งผ่านเหมืองไป ผมก็พบฟาร์มโซลาร์ขนาดใหญ่ ทั้งบนบกและในนํ้า โดยในนํ้ามี Floating Solar Farm จนผมอุทานออกมาว่า นี่มันโรงงาน Low Carbon ชัด ๆ จากนั้นยานยนต์ไฟฟ้าก็มาส่งผมหน้าโรงปูนที่มีเครื่องทำเชื้อเพลิง Biomass เพื่อทำก้อนเชื้อเพลิงจากเศษวัสดุการเกษตร รวมถึงมีเครื่อง RDF Refuse Derived Fuel ที่สามารถนำเอาขยะชุมชนที่คัดแล้ว มาทำเป็นก้อนพลังงานเพื่อทดแทนการใช้ถ่านหิน โดยโรงปูนแห่งนี้น่าจะเป็นโรงปูนคาร์บอนตํ่าที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา และในระหว่างที่ยืนดูนวัตกรรมพลังงานทางเลือกอยู่นั้น ก็มีเสียงประกาศให้ไปที่หน้าหม้อ ผมเดาว่าคนเซตโปรแกรมคงจะเป็นวิศวกรจากการที่เรียกเตาเผาว่าหม้อ ผมค่อย ๆ เดินไปตามคำสั่งจนถึงหน้าเตาเผา ทันใดนั้นผมก็ได้พบกับหญิงสูงศักดิ์ในชุดซาฟารีที่ยืนหันหลังอยู่
เธอจึงค่อย ๆ หันมายิ้มหวานพร้อมเอ่ยว่ามาเร็วนะคะ ดิฉันมาช่วยคิดนวัตกรรมลดคาร์บอนให้ โรงปูนทุ่งสงของ SCG แห่งนี้ พอดีอาจารย์รี่ก็มาช่วยชาวบ้านพัฒนาสินค้าชุมชน แล้วอยู่ดี ๆ เมื่อเช้าอาจารย์รี่ก็หายไป โดยทิ้งกระดาษยับ ๆ วาดเป็นรูปหัวใจไว้ มีภาพสเกตช์รูปหน้าผาที่มีหินตาย้อยลงมา กับมีหินยายเป็นร่องลึกเข้าไป โดยมีตัวหนังสือเขียนไว้เพียงว่า “หัวใจว้าวุ่นในพงพนา” แถมมีรอยสีนํ้าตาลเข้มดูคล้ายคราบเลือด ดิฉันเป็นกังวลมาก จึงอยากขอให้คุณพรานช่วยถอดปริศนาได้ไหม ทันใดนั้นผมก็หยิบหมวกนักผจญภัยขึ้นมาใส่ เดินเก๊กวนไปวนมาทำท่าครุ่นคิด แล้วก็ถามคุณหมอว่า เราจะถามใครแถวนี้ได้บ้าง เพราะเห็นมีแต่ AI ทำงาน ผมเดาว่าวงจรปิดก็คงจะถูกถอดปลั๊กออก และคงจะเอาไปทิ้งในบ่อที่มีแผงโซลาร์ลอยอยู่
เสียงไก่ยามเช้าปลุกก่อนที่อาทิตย์จะขึ้นจากขอบฟ้า คุณหมอแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ผมรีบกุลีกุจอเก็บของขึ้นรถไร้คนขับ โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ ชุมชน like (ไร้) ขยะ ต.นาไม้ไผ่ ผมพาคุณหมอไปคุยกับ “พี่หนู-สุจิตรา ป้านวัน” รองปลัด อบต.ของที่นี่ ซึ่งเป็นผู้ที่ชวนเด็ก ๆ ให้มาแยกขยะ เพื่อขายเป็นพลังงานทางเลือก RDF ให้กับ SCG ซึ่งพี่หนูและชาวบ้านบอกว่า อาจารย์รี่จากพลังปัญญา ได้ช่วยมาเปลี่ยนความคิดด้วยการแนะนำให้ใช้หลักพอเพียงและเศรษฐกิจหมุนเวียน Circular Economy โดยอาจารย์รี่บอกว่า แค่จัดการขยะให้ดี ก็สร้างรายได้ให้ชุมชนได้แล้ว จนทำให้ตอนนี้ชุมชนไม่เหลือขยะ แถมยังช่วยลดคาร์บอนให้กับโรงงานปูนด้วย แต่อาจารย์รี่ไม่อยู่ที่นี่ ดังนั้นพรานน่าจะลองไปหาที่ “รักแรกพบ” ดู เผื่อจะเจออาจารย์รี่ ผมมองไปที่คุณหมอแล้วอมยิ้มซ่อนความในใจไว้ แต่คุณหมอทำหน้ารู้ทัน แล้วดุว่าจะไปต่อหรือยัง ผมบอกว่าต้นรักแรกพบเป็นที่อยู่ของผึ้ง

ดังนั้นเราคงต้องไปที่ “ศูนย์เรียนรู้ชุมชนผึ้งร่มไทร” ซึ่งที่นั่นอาจารย์รี่ได้สอนการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผึ้ง ที่มีทั้งนํ้าผึ้งสดเดือน 5 แบบเข้มข้น มีสบู่ แชมพู โลชั่นไปจนถึงยาสีฟัน ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ให้คนในชุมชน โดยแยกกันเลี้ยงผึ้งตามบ้านหลายสิบหลังคาเรือน จนเมื่อเราไปถึงต้นรักแรกพบ แต่ปรากฏไม่พบใครเลย โดยชาวบ้านบอกว่าคนส่วนใหญ่ไปเตรียมตัวรับคนกรุงเทพฯ ที่หน้าผาบ้านวังไทร ผมจึงนำภาพวาดหน้าผาที่มีหินตาขนาดใหญ่งอกลงมา และหินยายมีร่องลึกเข้าไปให้เขาดู แล้วถามว่าเหมือนในรูปนี้ไหม ชาวบ้านพยักหน้าบอกว่าใช่ ผมจึงรีบจูงมือคุณหมอขึ้นรถมุ่งสู่หน้าผาบ้านวังไทรทันที พอไปถึงก็พบว่าชาวบ้านกำลังเตรียมงานกันวุ่นอยู่ แล้วผมก็มองไปเห็น อาฉี เจ้าตำรับ live สดขายเส้นผัดไทยปรุงรส ซึ่งรํ่ารวยด้วยการจํ้าจี้จํ้าไชของอาจารย์รี่ โดยอาฉีบอกว่าเดี๋ยวจะลองถามเพื่อน ๆ จากโครงการพลังชุมชนซึ่งกำลังจัดร้านเพื่อเตรียมจำหน่ายสินค้าที่มีทั้งนํ้าพริก เครื่องแกงแปรรูป ผลิตภัณฑ์จากผึ้ง สินค้ารีไซเคิลจากขยะ นํ้ามันหม่องสมุนไพร และอื่น ๆ จากนั้นชาวบ้านได้ชี้ไปทางป่าชุมชนต้นนํ้าวังไทร แล้วบอกกับผมว่าชาวบ้านเห็นอาจารย์รี่ครั้งสุดท้าย ณ ที่ตรงนั้น ซึ่งเมื่อได้ยินผมจึงประคองคุณหมอฝ่าสายฝนไปด้วยความกังวล
เมื่อเดินผ่านถํ้าทมึนที่มีโพรงทางเข้าเป็นรูปหัวใจ ผมก็มั่นใจว่าต้องเป็นถํ้านี้แน่ ๆ ผมและคุณหมอจึงลัดเลาะไปตามทางเดินของป่าที่ยังสดใหม่ เพราะคงไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากนัก ป่านี้มีถํ้าที่น่าสำรวจหลายแห่ง ทั้งถํ้าบกและถํ้าบาดาล และยังมีดงของไผ่ยักษ์ ดงเตยป่า ต้นเซาะปางคู่ และถัดลึกเข้าไปยังมีต้นลำแพนยักษ์อายุหลายร้อยปีตั้งตระหง่านอยู่ด้วย

ผมรีบเอามือปิดปากคุณหมอบอกว่า เงียบ ๆ ไว้ เพราะเห็นงูเหลือมขนาดยักษ์พอกับอนาคอนดากำลังเลื้อยอยู่ในนํ้าข้าง ๆ ที่เรายืนอยู่ เมื่อคุณหมอเห็นก็ตกใจตัวสั่นอยู่ในอ้อมกอดผมเวลาเราหยุดนิ่งเหมือนโลกหยุดหมุน ความทรงจำก็หวนกลับมาในสมองของสองเรา ตัวคุณหมออ่อนระทวย จนผมต้องพยายามประคองไว้ให้พ้นภัยจากงูยักษ์ ทันใดนั้นก็มีเสียงแหลมสูงของชายคนหนึ่งดังมาแต่ไกลว่า สองคนนั้นมายืนกอดกันอยู่ทำไม งูยักษ์ไปตั้งนานแล้ว ผมและคุณหมอจึงฟื้นจากภวังค์ และหันไปตามเสียงนั้น พร้อมกับอุทานว่า อ้าวอาจารย์รี่ ไหนว่าโดนจับมา ซึ่งอาจารย์รี่ก็ตอบกลับมาว่าไม่ได้โดนจับมา แต่มาเตรียมจัดที่สำหรับดริปกาแฟ เพื่อคุยกันเรื่องความยั่งยืนที่ทาง SCG ทำไว้ ทั้งที่โรงปูนทุ่งสง และชุมชนรอบ ๆ จนมาถึงที่ป่าต้นนํ้าแห่งนี้ ซึ่งผมก็ได้ถามต่อไปว่า แล้วกระดาษเปื้อนเลือดที่มีภาพสเกตช์นี้ หมายความว่าอะไร
อาจารย์รี่ก็เฉลยว่า เป็นภาพผังให้ชาวบ้านใช้เพื่อจัดสถานที่ และรอยคราบเลือดนั้น น่าจะเป็นรอยเปื้อนจากกาแฟดริปมากกว่า จนทำให้เราทั้งสามคนต่างก็ต้องหัวเราะ แล้วขึ้นจากนํ้ามายังพื้นที่ที่เตรียมไว้สำหรับดริปกาแฟป่า เพื่อพูดคุยกันถึงเรื่อง ESG 4 Plus ของ SCG และการสอนเรื่องความพอเพียงให้ชาวบ้าน โดยเป็นภารกิจที่ “ทีมพลังปัญญา” ได้ทำกันมาต่อเนื่องนานหลายปีแล้ว จนทำให้ชุมชนนั้นสามารถพึ่งพาตัวเองได้ ซึ่งผมบอกอาจารย์รี่ก่อนที่จะเดินทางกลับว่า…ผมต้องถ่ายรูป “ปากถํ้าหัวใจว้าวุ่น” ที่ทำให้คุณหมอว้าวุ่นหัวใจหาเรื่องเรียกผมมาหาที่นี่เสียก่อน จนทำให้ทุกคนหัวเราะ และบทสนทนาที่มีสาระก็ดำเนินต่อไปริมสายธารในป่าแห่งความยั่งยืน ส่วนในบทสนทนานี้จะมีอะไรนั้น ต้องคอยติดตามกันในตอนต่อไป.

CSR Man