ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจร้านค้าโชห่วย และร้านค้าปลีกพบว่า ผู้ประกอบการบุหรี่ได้มีการแจ้งปรับราคาขายปลีกแนะนำขึ้นอีกซอง 3-4 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับราคาต้นทุนที่สูงขึ้น โดยนายภูมิจิตต์ พงษ์พันธุ์งาม ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย ได้ประกาศกำหนดราคาขายบุหรี่ฉบับใหม่ 16 ยี่ห้อ โดยมีการปรับบุหรี่ในกลุ่มราคาสูงขึ้น 4 ยี่ห้อ จากซอง 102 บาท เป็น 105 บาท กลุ่มระดับกลาง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ขายดีที่สุดขึ้น 9 ยี่ห้อ จากซอง 66 บาท เป็น 70 บาท และกลุ่มบุหรี่ราคาถูก 3 ยี่ห้อ ขึ้นจากซอง 63 บาท เป็น 67 บาท โดยมีผลแล้ว ตั้งแต่เดือน ก.ย. ที่ผ่านมา

ขณะที่ ผู้ผลิตและจำหน่ายบุหรี่ต่างประเทศรายใหญ่ ได้แจ้งปรับบุหรี่ราคาระดับกลาง 4 รายการ จาก 70 บาท เพิ่มเป็น 72 บาท โดยมีผลตั้งแต่เดือน ต.ค. 66 เป็นต้นไป โดยการปรับขึ้นราคาบุหรี่ดังกล่าว สามารถขึ้นราคาได้ทันที เนื่องจากยังอยู่ในกรอบราคาขายปลีกแนะนำที่กรมสรรพสามิตกำหนด คือ หากบุหรี่ขายปลีกราคาไม่เกินซองละ 72 บาท เสียภาษีที่ 25% ส่วนบุหรี่ขายปลีกตั้งแต่ซองละ 72 บาทขึ้นไป จะเสียภาษีในอัตรา 42%  

รายงานข่าวจากการยาสูบฯ แจ้งว่า การปรับขึ้นราคาบุหรี่ครั้งนี้ เป็นผลจากต้นทุนการผลิตบุหรี่ที่เพิ่มขึ้น ไม่ได้ต้องการเพิ่มการทำกำไรแต่อย่างใด เนื่องจากราคาก้นกรองที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตบุหรี่มีปัญหาขาดตลาด และราคาเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าตัว หลังเกิดปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้โรงงานผลิตหลักที่อยู่ในยูเครนได้ปิดตัวไป ประกอบกับ การยาสูบฯ มีข้อจำกัดเรื่องการจัดซื้อสินค้า โดยสามารถสต๊อกได้เพียง 1 ปี น้อยกว่าภาคเอกชนที่สต๊อกได้ 3 ปี จึงมีเหตุจำเป็นปรับขึ้นราคาเพื่อประคองให้การยาสูบฯ มีกำไรพออยู่ได้ ประกอบกับที่ผ่านมา การยาสูบฯ มีการตั้งราคาบุหรี่ขายที่ 63-66 บาท ซึ่งมีกำไรน้อย เพียงละซองละไม่ถึง 1 บาท ทำให้เมื่อต้นทุนขยับขึ้นมา ก็ไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ ส่วนเรื่องการปรับภาษีสรรพสามิตบุหรี่ ขณะนี้ยังเป็นอัตราเก่า ไม่ได้มีกระทบอะไร ส่วนภาพรวมตลาดบุหรี่ก็จำหน่ายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยปัจจุบันการยาสูบฯ มีส่วนแบ่งการตลาดที่เกิน 50% สูงเป็นอันดับหนึ่งอยู่

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการยาสูบได้ประสบปัญหาการตั้งราคาขาย คือ แม้การยาสูบจะตั้งราคาขายที่ซอง 66 บาท แต่ตามตลาด หรือร้านค้าปลีกทั่วไป ก็ขายกันที่ราคา 70 บาทอยู่แล้ว เพราะไม่อยากทอนเงิน หรือบางรายก็แถมลูกอม แทนไม้ขีดแทน นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่กังวลในขณะนี้ คือปัญหาบุหรี่เถื่อนที่มีการแพร่ระบาดมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปัจจุบันไม่ได้ระบาดเฉพาะภาคใต้ แต่ขยายมายังกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งพบว่าตามร้านค้าต่างๆ มีบุหรี่เถื่อนเข้ามาจำหน่ายเพิ่มจาก 6% เป็น 20% เพราะมีราคาขายเพียงซองละ 28-32 บาท ถูกกว่าบุหรี่ที่เสียภาษีถูกต้องที่ขายกันซองละ 70-105 บาท ถึง 2-3 เท่าตัว ที่สำคัญยังพบว่าประชาชนมีการสั่งซื้อบุหรี่ตามช่องทางออนไลน์มากขึ้น เช่น สั่งข้ามประเทศ หรือสั่งจากตามตะเข็บชายแดน แล้วให้ส่งมาตามไปรษณีย์ หรือขนส่งเอกชน โดยยอมรับว่าตามจับค่อนข้างยาก เพราะบริษัทขนส่งเอกชนไม่มีเครื่องสแกนสินค้าภายใน