จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช ได้ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 8 ออกหมายจับ 2 ผู้คุมราชทัณฑ์ เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ประกอบด้วย 1.นายวรินทร ทองประจง อายุ 41 ปี 2.นายเอกลักษณ์ ไชยกาญจน์ อายุ 35 ปี ในฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานมีตำแหน่งหน้าที่ควบคุมดูแลผู้ที่ต้องคุมขังตามอำนาจศาล ซึ่งเป็นบุคคลต้องคำพิพากษาของศาลให้ลงโทษจำคุกตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ร่วมกันกระทำด้วยประการใดๆ ให้ผู้ที่อยู่ระหว่างคุมขัง หลุดพ้นจากการคุมขังไป โดยทั้งคู่รับหน้าที่ควบคุมนายเชาวลิต ทองด้วง หรือเสี่ยแป้ง นาโหนด นักโทษชายรายสำคัญ ในคืนก่อเหตุหลบหนีออกจากการควบคุมตัวที่โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช ด้วยการใช้กุญแจผีสะเดาะตรวนข้อเท้า เมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 22 ต.ค. ที่ผ่านมา และขณะนี้นายเชาวลิต ยังอยู่ระหว่างหลบหนีกบดาน ศาลได้ออกหมายจับในความผิดฐานหลบหนีไประหว่างที่ถูกคุมขังตามอำนาจของศาล นอกจากนี้ ยังมีรายงานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยว่า นายเชาวลิต พร้อมด้วยภรรยาและลูกเล็ก อาจหลบหนีไปถึงประเทศมาเลเซียเรียบร้อยแล้ว ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวไปอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 4 พ.ย. นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และในฐานะโฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า สำหรับประเด็นที่ 2 ผู้คุมราชทัณฑ์ในผลัดเช้า ซึ่งเป็นคนละเวรกับ 2 ผู้คุมราชทัณฑ์ผลัดบ่ายที่ถูกออกหมายจับ ได้ดำเนินการเปลี่ยนโซ่ตรวนข้อเท้าให้นายเชาวลิต นั้น เบื้องต้นมีการชี้แจงกับคณะกรรมการฯ ว่า ได้ตรวจสอบโซ่ตรวนที่ข้อเท้าของนายเชาวลิตแล้วพบว่าไม่กระชับและไม่แน่นหนา จึงไปเปลี่ยนตรวนข้อเท้าให้กระชับมั่นคงขึ้น ซึ่งระหว่างคำให้การของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ผลัดเช้า และคำให้การของ น.ส.วิลาวัลย์ (คนเฝ้าไข้นายเชาวลิต) ยังคงให้การไม่สอดคล้องกัน เพราะ น.ส.วิลาวัลย์ ให้การว่าโซ่ตรวนข้อเท้าของนายเชาวลิต เมื่อได้รับการเปลี่ยนโดยผู้คุมในผลัดเช้าแล้วยังคงหลวม ไม่ได้กระชับแน่นหนามั่นคงตามที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์กล่าวอ้าง และเมื่อเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่อยู่ในผลัดบ่ายมาตรวจโซ่ตรวนข้อเท้าของนายเชาวลิต เพราะเข้ารับเวรต่อ ก็พบว่าแน่นกระชับปกติดี จึงพบว่าคำให้การของบุคคลทั้งหมดล้วนขัดแย้งกัน ทำให้หลังจากนี้ คณะกรรมการฯ ต้องไปดูคำให้การในสำนวนของตำรวจมาประกอบร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ผู้คุมราชทัณฑ์ 2 รายในผลัดเช้า ยังคงปฏิบัติราชการอยู่ที่เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ยังไม่ได้ถูกสั่งพักราชการไว้ก่อน เนื่องมาจากคณะกรรมการฯ ต้องเน้นตรวจสอบไปที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ 2 ราย ในผลัดบ่าย ที่อยู่ในช่วงเกิดเหตุหลบหนีก่อน แต่หากมองในเรื่องของความบกพร่อง ก็ต้องมองเหมารวมทั้งชุดเวร ทั้งผลัดเช้าและผลัดบ่ายของวันเกิดเหตุ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการฯ จะต้องเรียกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ 2 ราย ที่อยู่ในผลัดเช้ามาสอบถามถึงสาเหตุการเปลี่ยนโซ่ตรวนข้อเท้าให้ผู้ต้องขังในช่วงเช้า เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงอย่างครอบคลุมที่สุด และคณะกรรมการฯ ต้องรอดูผลการสอบปากคำของตำรวจ ในส่วนของคำให้การของ 2 ผู้คุมราชทัณฑ์ที่ถูกออกหมายจับว่า จะมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง

โฆษกกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงขั้นตอนถัดไปว่า เมื่อคณะกรรมการฯ ประสานขอรายละเอียดคำให้การของ 2 ผู้คุมราชทัณฑ์ที่เดินทางเข้ามอบตัวกับเจ้าที่ตำรวจแล้วนั้น ในส่วนของพยานหลักฐานอื่นๆ อาทิ ภาพจากกล้องวงจรปิดของ รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช ซึ่งอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เราก็จะประสานขอมาเช่นกันเพื่อประกอบการพิจารณา ส่วนเรื่องการตรวจสอบเส้นทางการเงินว่ามีผู้คุมรายใดในผลัดเวรวันเกิดเหตุ มีการรับผลประโยชน์จากการหลบหนีของนายเชาวลิต หรือไม่นั้น จะเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ตำรวจที่จะต้องดำเนินการตรวจสอบ ราชทัณฑ์ไม่มีอำนาจในส่วนนี้แต่อย่างใด

โฆษกกรมราชทัณฑ์ กล่าวอีกว่า สำหรับประเด็นที่สังคมตั้งข้อสังเกตว่านายเชาวลิต เคยมีพฤติการณ์วางแผนหลบหนี (แหกคุก) ตั้งแต่สมัยถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำกลางพัทลุงหรือไม่นั้น ในส่วนนี้ คณะกรรมการฯ ยังไม่ได้มีการตรวจสอบรายละเอียดเชิงลึก แต่ได้รับรายงานว่านายเชาวลิต ไม่เคยมีพฤติการณ์ก่อเหตุหลบหนี ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรก อีกทั้งที่ผ่านมา ก่อนมีการโอนย้ายนายเชาวลิต มาคุมขังไว้ที่เรือนจำกลางนครศรีธรรมราชแทนเรือนจำกลางพัทลุง ทราบว่าผู้บัญชาการเรือนจำกลางพัทลุง เคยรายงานข้อมูลว่านายเชาวลิต เป็นผู้ต้องขังในคดีร้ายแรงหลายคดี และล้วนเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง จึงต้องมีการโอนย้ายผู้ต้องขังมาที่เรือนจำกลางนครศรีธรรมราชแทน เพราะเป็นเรือนจำความมั่นคงสูง.