กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ที่หลายคนสนใจติดตามอย่างมากมายสำหรับเรื่องราวของนักร้องชื่อดังในอดีต นิก รณวีร์ หรือ นิก เดอะสตาร์ ที่ก่อนหน้านี้มีงานให้ได้เห็นหน้ากันบ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขากลับต้องไปร้องเพลงตามร้านอาหารเล็กๆ ที่ไม่มีคนรู้จัก แถมหลายคนยังแซะเขาด้วยว่าตกอับ ไม่มีงาน ไม่มีคนสนใจ ทำให้หลายคนยิ่งมอบกำลังใจให้เขาและอยากรู้เรื่องราวของเขามากขึ้น

ล่าสุดรายการดังทางยูทูบ Dailynews LIVE-TH อย่างรายการ Daily POP ได้มีการสัมภาษณ์หนุ่มนิกถึงประเด็นดังกล่าว โดยหนุ่มนิกเล่าอย่างละเอียดว่า

นิก เผยว่า “งานในวงการบันเทิงจริงๆ ก็มีละครมาเรื่อยๆ นะครับ แต่อาจจะไม่ได้เห็นเราบ่อยครั้งเหมือนตอนเล่นผู้กองเจ้าเสน่ห์ ที่ผมพูดผ่านช่องหนึ่งว่า เพื่อนๆ ในวงการผมมีงานกันหมดเลยทุกคน แต่ทำไมเราไม่มีงานเลย อันนี้เราก็ยังไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ได้ว่ามันเกิดจากอะไร (ยิ้ม) แต่เอาเป็นว่าเราก็โทษตัวเองก่อนที่เราไม่สามารถตอบโจทย์กับยุคสมัยนี้ เราไม่สามารถโปรโมตตัวเองให้อยู่ในกระแสได้ตลอดเวลา ก็เลยทำให้เราอาจถูกหลงลืมในการเรียกใช้งาน หรือเรียกภาษาชาวบ้านเลยก็คือเรากระจอกกว่าคนอื่น เราสู้คนอื่นไม่ได้ ที่คนแซะว่าชีวิตตอนนี้เปรียบเหมือนฟ้ากับเหวเลยจากเมื่อก่อน คือต้องยอมรับว่าเมื่อก่อนความสำเร็จที่มันสำเร็จเร็วกว่าปกติที่ควรจะเป็น คือความจริงผมประกวดเวที The star แล้วได้ที่ 2 และผมได้ออกอัลบั้มด้วย แต่บังเอิญเรามีเพลงที่เราแต่งกันไว้ และได้นำเสนอก็เลยออกมาเป็นเพลงนี้ ซึ่งจะบอกว่าโชคดีหรือผมมีความสามารถก็ไม่รู้ เพลงก็ดัง สามารถทำให้มันฮิตมาถึงตอนนี้ ถือว่าเป็นโชคชะตาที่ทำให้เราได้รับความสำเร็จนั้นเร็วกว่าปกติ ซึ่งเราบริหารความสำเร็จในครั้งนี้ได้ไม่ดีนัก ก็เลยส่งผลมาปัจจุบันที่เราบริหารความสำเร็จนี้มันได้ไม่ดี”

ย้อนกลับไปตอนที่จบเวที The Star ตอนนั้นผมอายุแค่ 20 ปี แต่ตอนนี้ผมอายุ 38 ปีแล้ว แต่พอเรามามองเพื่อนๆ น้องๆ ที่ประกวดด้วยกัน ยกตัวอย่าง แคน อติรุจ ซึ่งเขาก็จบอันดับที่ไม่ได้สูง แต่เขามีเส้นทางในการทำงานที่เขาวางเอาไว้ได้ แต่ผมเป็นเด็กวัยรุ่นที่คิดว่าพอจบรายการแล้ว มันสิ้นสุดแล้วเราก็จะไม่ทำอะไรแล้ว คิดว่าความดังมันจะอยู่กับเราไปตลอดไป เป็นนิก The star ที่ทุกคนรู้จักตลอดไป เราก็ยังอวยตัวเอง มั่นใจในความสำเร็จที่มันเคยมีอยู่จนมาถึงตอนนี้ พอถึงตอนนี้เราเพิ่งมานั่งคิดได้ว่าควรหาอาชีพสำรองที่จะสามารถทำได้นอกจากการร้องเพลง และเล่นละคร แต่พอเอาเข้าจริงๆ พอเราไม่มีทั้ง 2 อาชีพในการทำงานเราก็นอนมองเพดานมาเลยตั้งแต่โควิดที่ผ่านมา รวมๆ ก็นาน 3-4 ปีแล้ว แต่ก็มีเซ็นสัญญากับค่ายเพลง และก็ออกซิงเกิ้ล แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับเท่าซิงเกิ้ลเธอคือหัวใจ เหมือนเขาจำเราไม่ได้ว่าเราเคยเป็นนักร้องมาก่อน และเราก็ไม่สามารถตามกระแสของยุคนี้ได้ทัน ก็คือมันไม่ประสบความสำเร็จ”

นิก เล่าต่อว่า “ถ้าย้อนกลับไปได้ เราอยากจะย้อนกลับแก้ไขอะไรไหมตรงนี้ ผมขอไม่ย้อนดีกว่า เพราะในความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้เรามีประสบการณ์ขึ้น ส่วนเรื่องปลงนี่ปลงอยู่แล้ว ทั้งเรื่องไม่มีงาน น้อยใจโชคชะตา โทษคนรอบข้างผมเป็นมานานแล้ว แต่สุดท้ายมันก็ย้อนกลับไปไม่ได้ ทำได้แค่ยอมรับสภาพ แล้วแก้ไขไปทีละจุด ในเรื่องชื่อเสียงเป็นเรื่องที่เสียใจรองลงมา แต่เรื่องที่เสียใจมากที่สุดคือเรื่องสุขภาพที่เราไม่ยอมดูแลรักษามันอย่างดีตั้งแต่วัยรุ่น ตอนนี้ก็เป็นโรคเกาต์ โรคความดัน และรู้สึกว่าเป็นโรคทรัพย์จาง (หัวเราะ)”

กว่าจะยิ้มได้แบบทุกวันนี้ ก่อนหน้าก็เคยผ่านจุดที่ไม่อยากแม้แต่ร้องเพลงเลย นักร้องชื่อดัง เล่าว่า “ด้วยหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ความน้อยใจโชคชะตาด้วย สิ่งสำคัญคือเรื่องสุขภาพที่ทำให้เราไม่สามารถทำในสิ่งที่เรารักได้อย่างสมบูรณ์ ปกติเวลาเราไปร้องเราสามารถโชว์ มีพลังโชว์ได้อย่างเต็มที่กว่านี้ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเราปวดขาจากโรคเกาต์ เดินไม่ได้ เราก็ต้องพยุงร่างกายตัวเองไปทำงาน พอยืนไม่ได้ก็รู้สึกน้อยใจตัวเองที่ปล่อยให้ตัวเองมาอยู่ในจุดนี้ได้ยังไง พอเราไม่สามารถตอบโจทย์การทำงานของคนจ้างได้ บางครั้งก็จะถูกยกเลิกบ้าง ปฏิเสธหน้างานบ้าง ตอนที่เรามีชื่อเสียงเป็น นิก The star ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงมาก เรียกได้ว่าใช้ชีวิตเต็มที่มาก คิดเลยว่าวันพรุ่งนี้ไม่มีแล้ว ทำตามใจที่เราต้องการ ด้วยความที่เราเป็นลูกครู และอยู่ในกรอบมาตั้งแต่สมัยเรียนจนเข้ามหาวิทยาลัย พอเรามาประกวดเราก็ได้มาใช้ชีวิตคนเดียวที่กรุงเทพฯ พอเราได้มาใช้ชีวิตด้วยตัวเองมันทำให้เรามีอิสระมากขึ้น พอไม่ได้อยู่ในสายตาพ่อแม่ก็เหมือนระเบิดเวลา ยอมรับว่าเราก็เกเร เรียกได้ว่าเราประมาทในการใช้ชีวิต ก็เลยส่งผลกระทบมาเป็นแบบนี้ แต่โชคดีที่มันไม่ร้ายไปมากกว่านี้ ช่วงที่ดังไม่ได้เก็บเงินเลย มีเท่าไหร่ใช้เท่านั้นเลย ถามว่าวันนี้รู้สึกว่าใช้เงินได้ดีขึ้นไหม หมายถึงการบริหารจัดการแค่รู้สึกว่าตอนนี้ไม่ได้คล่องตัวเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีกินไม่มีใช้เลย เพราะเราก็มีส่วนหนึ่งที่เราโอนให้พ่อแม่ไว้ใช้สมัยที่มี ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าให้ไปเท่าไหร่บ้าง แต่พอวันหนึ่งที่เราไม่มีก็ยืมพ่อแม่มาใช้”

เรื่องคำพูดของพ่อพี่ที่ฉุดพี่ขึ้นมาไม่ให้เลิกร้องเพลง จากที่ตอนนั้นไม่เอาแล้วคือพ่อผมบอกว่าในเมื่อเขาเชื่อมั่นในตัวเรา ไว้ใจให้เรามาเล่นร้านของเขาแล้วเนี่ย เราควรเล่นให้เขาเต็มที่นะ อย่างน้อยถ้าเราได้ทำให้เขาเต็มที่ ผลลัพธ์จะเป็นยังไงก็สุดแล้วแต่มันจะเป็นนะ ผมก็เลยรู้สึกว่าเหมือนเราทรยศต่ออาชีพตัวเอง พี่ดูถูกความสามารถตัวเอง พี่สามารถทำงานได้ พี่เอาองค์ประกอบอย่างอื่นมาเป็นข้ออ้างไม่ทำงาน เหมือนพี่เป็นคนเห็นแก่ตัว ที่ทุกคนพร้อมจะเข้าใจเรานะ แต่เราไม่พร้อมจะปรับตัวเองให้มันดีขึ้น ทำให้เราคิดได้หลายๆ อย่างจริงๆ ครับแล้วกลับมาร้องเพลงแบบที่ร้องอยู่ตอนนี้”

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก nick_thestar