กระแสเรื่อง “อาหารคลีน-อาหารเพื่อสุขภาพ” กำลังเป็น “เทรนด์” ที่คนไทยให้ความสนใจ การเพาะปลูกพืชแบบ ปลอดสารพิษ ก็กำลังเป็นที่นิยม แต่การทำเกษตรในรูปแบบดังกล่าวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องต่อสู้กับ  สภาพภูมิอากาศ อุณภูมิ วัชพืช ศัตรูพืช ฯลฯ

การทำ “เกษตรแบบปิด” หรือ  โรงงานผลิตพืช (Plant factory) จึงเป็นอีกหนึ่งทางออก ที่นำเทคโนโลยีมาใช้ ในการช่วยทำการเกษตร โดยมีการใช้แสงจากหลอดไฟ LED (Light emitting dioses) มาช่วยในการเพาะปลูก

“Plant factory” ในประเทศญี่ปุ่น ได้มีการสร้างและใช้งานอย่างแพร่หลาย และถูกนำมาใช้ในการปลูกผัก ในเชิงพาณิชย์เพื่อขายไปยังผู้บริโภคมาที่รักสุขภาพเป็นจำนวนมาก

สำหรับในประเทศไทย ก็ได้มีหน่วยงานภาครัฐที่เทคโนโลยีมาเผยแพร่ และให้การสนับสนุนทั้งเรื่องความรู้ แนะนำเทคโนโลยีและเงินทุน!!  อาทิ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เป็นต้น

“วราวุธ จันทราภินันท์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซุพีเรีย โกล จำกัด  ผู้ผลิตพืชและจัดจำหน่ายระบบปลูกพืชแบบ Plant factory ที่ได้รับการสนับสนุนจาก ดีป้า บอกว่า  เดิมประกอบอาชีพวิศวกร แต่เเมื่อเวลาผ่านไปเริ่มมีอายุมากขึ้น ก็อยากใช้ชีวิตเรียบง่ายทำอาชีพเกษตรกรรม มีที่ทางจำนวนหนึ่งใน จ.ชลบุรี แต่เมื่อมาทดลองทำ ก็พบว่าต้องเจอกับ ปัญหาและอุปสรรค ที่ไม่สามารถควบคุมได้ คือ สภาพภูมิอากาศ วัชพืช ศัตรูพืช พยาธิ ทำให้ต้องใช้ยาฆ่าแมลง ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อผู้บริโภค และคนทำการเพาะปลูกด้วย!?!

ขณะเดียวกัน หากทำคนเดียวก็ไม่ไหว จำเป็นต้องจ้างแรงงานจำนวนมากทำให้มีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปอีก และที่สำคัญ คือ ไม่ได้ทำเกษตรกรรมมาตั้งแต่เกิด!! หากอยากประสบความสำเร็จต้องหาความรู้ด้านนี้มากขึ้น!!

“ในช่วงแรกๆ ต้อง ลองผิด ลองถูก จะปลูกอย่างไร ปลูกอะไร และจะส่งขายที่ไหน หาตลาดอย่างไร จึงเป็นโจทย์ใหญ่ ด้วยความที่ไม่ได้จบด้านเกษตร ก็ต้องหาความรู้เพิ่ม และก็ค้นพบว่า มี ระบบ Plant Factory ที่นิยมในประเทศญี่ปุ่น และในไทยก็มี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่ทำในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นระบบ เดียวกับที่ประเทศญี่ปุ่นใช้ปลูกพืชแบบระบบปิด”

ข้อดี ของการปลูกพืชระบบปิด  หรือ Plant factory ก็คือ  ไม่ต้องพึ่งพาธรรมชาติ เช่น สภาพภูมิอากาศ ความสมบูรณ์ของดิน และแสง เป็นต้น และจะปลูกเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีฤดูกาล ให้ผลผลิตม่ำเสมอ ปลอดภัยกับผู้บริโภค เพราะปราศจากสารเคมี และพยาธิตามธรรมชาติ

“วราวุธ จันทราภินันท์” บอกต่อว่า หลังจากนั้นจึงเริ่มทำ Plant factory ซึ่งเป็นช่วงโควิด-19 เริ่มแพร่ระบาดพอดี โดยเริ่มสร้างโรงเรือนและวางระบบต่างๆ ทั้งระบบการให้น้ำ ปุ๋ย ลม และแสง รวมถึงระบบการควบคุม อุณหภูมิในโรงเรือน ควบคุมความชื้น และระบบหมุนเวียนนำคาร์บอนไดออกไซด์มาใช้  หลังจากนั้นก็เลือกพืช ในการปลูก คือ “ ผักเคล” ที่ได้รับฉายา  ราชินีผักใบเขียว!?!

อย่างไรก็ตามในช่วงแรก ต้องลองผิด ลองถูก ในการสร้างโรงเรือน แต่พบปัญหาหลายอย่าง เช่น การจดบันทึกจากมิเตอร์ที่ควบคุมระบบต่างๆที่แตกต่างกัน ซึ่งไม่สามารถประมวลผลได้แบบเรียลไทม์ ทำให้ได้มาเข้าร่วมโครงการ Smart Plant Factory  ของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ตั้งแต่ปี 65

ซึ่งผ่านมาตรการช่วยเหลือหรืออุดหนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อภาคธุรกิจอุตสาหกรรม (depa Digital Transformation Fund) ภายใต้การดูแลของฝ่ายส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาการเกษตร สมัยใหม่ เพื่อขอรับคำปรึกษา  ซึ่งได้มีการนำเทคโนโลยี IoT ที่มีการจัดเก็บข้อมูลบนเทคโนโลยี Cloud มาประยุกต์ใช้พัฒนาระบบควบคุมและติดตามระบบปลูกแบบเดิมที่เป็นกึ่งอัตโนมัติให้เป็นอัตโนมัติทั้งระบบ

นอกจากนี้ได้ความร่วมมือกับ บริษัท พีเอ็ม โซลูชั่น คอนโทรล จำกัด ผู้ให้บริการด้านดิจิทัล (Digital Provider) ด้วยการนำเทคโนโลยี IoT ที่มีการจัดเก็บข้อมูลบน Cloud มาใช้ มีการแจ้งเตือน และแสดงผลสภาพแวดล้อม ในแปลงปลูกผ่าน Dashboard ซึ่งมีการใช้เทคโนโลยีได้ช่วยทำให้ควบคุม และติดตามระบบปลูกได้ทุกที่ ทุกเวลา และติดตามได้พร้อมกันหลายระบบปลูกในเวลาเดียวกันด้วย!!

และในปี 66 นี้ ยังได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจาก ดีป้า เพิ่มเติมผ่านมาตรการช่วยเหลือหรืออุดหนุน  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อภาคธุรกิจอุตสาหกรรม โดยนำเทคโนโลยี ERP มาใช้พัฒนาระบบงาน ให้มีประสิทธิภาพ ทั้งการบริหารสินค้าคงคลัง การผลิต การจัดทำบัญชี การจัดจำหน่าย และการจัดซื้อ ทั้งงานเอกสารต่าง ๆ และการจัดเก็บข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อนำมามาใช้วิเคราะห์ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารงานต่างๆ

“วราวุธ จันทราภินันท์” บอกถึงความเปลี่ยนแปลงหลังจากที่เรานำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ ทำให้สามารถเพิ่มผลผลิตจาก 700 กิโลกรัมต่อพนักงาน 1 คนต่อเดือน เป็น 2,800 กิโลกรัมต่อพนักงาน 1 คนต่อเดือน เพิ่มรายได้จาก 140,000 บาทต่อเดือน เป็น 660,000 บาทต่อเดือน อีกทั้งสามารถลดภาระค่าแรงงานดูแลระบบจาก 80,000 บาทต่อเดือนเหลือ 40,000 บาทต่อเดือนทเ่านั้น!!

“การใช้ระบบปิด สามารถวางแผนผลผลิตที่ต้องการได้ อยู่ที่ว่าจะสามารถหาตลาด หรือสถานที่รับซื้อผลผลิต ได้หรือไม่ และยังสามารถที่จะเลือกพันธุ์พืชที่จะเพราะปลูกได้ ช่วงไหนพืชชนิดไหนราคาดีก็ สามารถเลือกปลูกพืชชนิด นั้นได้ ทั้งนี้ Plant Factory  ใช้เงินลงทุน 4-5 ล้านบาท บนพื้นที่ 100 ตารางเมตร  ผักเคล จะสามารถตัดผลผลิต ไปขายได้ใน 35 วัน และเมื่อมีการเก็บผลผลิตครั้งแรกแล้ว จะสามารถเก็บได้ทุกวัน วันละ 15 กิโลกรัมต่อวัน สามารถขายได้ในราคา 135 บาท ต่อ 150 กรัม และที่ผ่านมาสามารถคืนทุนใน 2 ปี!?!”

เป็นหนึ่งตัวอย่างที่นำเทคโนโลยีมาช่วยในการเพาะปลูกด้วยระบบปิด ไม่ต้องอาศัยหรือกลัวปัญหาจากสภาพดินฟ้าอากาศ เป็นเทรนด์เพาะปลูกสมัยใหม่ที่นาจับตามอง!?!

จิราวัฒน์ จารุพันธ์