ศึกยูโร 2020 รอบรองชนะเลิศ ที่สนามเวมบลีย์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ทีมชาติอิตาลี อดีตแชมป์ปี 1968 ลงสนามดวลเกือก สเปน อดีตแชมป์ 3 สมัย ครึ่งแรกทั้ง 2 ทีมเปิดเกมแลกกันอย่างออกรส ทว่าจังหวะสุดท้ายยังไม่คมพอจึงยังเสมอกันอยู่ 0-0

ครึ่งหลัง อิตาลี เริ่มทำเกมได้ดีกว่าเล็กน้อย และมาได้ประตูขึ้นนำก่อน 1-0 จากการปั่นโค้งของ เฟเดริโก เคียซา ในนาทีที่ 60 หลังเสียประตู สเปน ก็โหมหนัก และตามตีเสมอเป็น 1-1 ได้สำเร็จในนาทีที่ 80 จากจังหวะที่ อัลบาโร โมราตา ที่ลงสนามมาเป็นตัวสำรองแทน เฟร์ราน ตอร์เรส ในครึ่งหลัง ทำชิ่ง 1-2 กับ ดานี โอลโม ก่อนจะส่งบอลผ่านมือ จานลุยจิ ดอนนารุมมา เข้าไปประตูไปอย่างเหนือชั้น ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีใครทำอะไรกันได้อีกครบ 90 นาที อิตาลี เสมอ สเปน 1-1 ต้องไปวัดกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ

ช่วงเอ็กซ์ตราไทม์ นาทีที่ 110 อิตาลี เกือบได้เฮอีกครั้ง เมื่อ เลโอนาร์โด โบนุชชี เปิดบอลยาวข้ามแนวรับให้ โดเมนิโก เบราร์ดี หลุดเข้าไปตวัดผ่านมือ อูไน ซิมอน เข้าไปซุกก้นตาข่ายได้สำเร็จ แต่สุดท้ายก็ต้องเฮเก้อเมื่อผู้ช่วยผู้ตัดสินยกธงเป็นจังหวะล้ำหน้าไปก่อนแล้ว จากนั้นไม่มีใครทำอะไรกันได้อีกครบ 120 นาที อิตาลี เสมอ สเปน 1-1 ต้องตัดสินหาผู้ชนะด้วยการดวลจุดโทษ และก็เป็น “อัซซูรี” ที่ยิงแม่นกว่าเอาชนะไปได้ 4-2 พร้อมคว้าตั๋วผ่านเข้าไปรอบชิงชนะเลิศได้เป็นทีมแรก โดยจะพบกับผู้ชนะระหว่าง อังกฤษ กับ เดนมาร์ก ที่สนามเวมบลีย์ ในวันอาทิตย์ที่ 11 ก.ค.นี้.

ภาพจากทวิตเตอร์ @EURO2020