มาร์คัส แรชฟอร์ด หัวหอกเด็กสร้างของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังเผชิญหน้ากับมรสุมลูกใหญ่ในอาชีพค้าแข้งอีกครั้ง หลังออกอาการฟอร์มตกอย่างน่าใจหายจนถูกดร็อปเป็นแค่ตัวสำรองในเกมพรีเมียร์ลีก นัดล่าสุดที่ “ผีแดง” เปิดบ้านเชือด เชลซี 2-1

จากที่เคยกระหน่ำไปถึง 30 ตุงเน้น ๆ ในฤดูกาลที่แล้ว ฤดูกาลนี้ แรชฟอร์ด กลับทำผลงานตกต่ำดำดิ่งอย่างน่าใจหาย หลังกดไปแค่ 2 ประตูจากการลงเล่น 19 นัดรวมทุกรายการก่อนจะโดน เอริค เทน ฮาก จับติดสนับก้น หลังลงเล่นแบบไร้หัวใจในเกมบุกแพ้ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 0-1

วันนี้เราจะไปเจาะลึกกันแบบให้ถึงต้นต่อว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ฟอร์มของ ดร.แรช รูดมหาราชได้ถึงเพียงนี้…

ทัศคติที่ย่ำแย่ และความบกพร่องในเกมรับ

ภาษากายที่ไม่สู้ดีนัก ไม่ว่าจะเป็นการเดินก้มหน้าหงุด ๆ ยามทีมทำผลงานไม่ได้อย่างใจ, การเอาแต่นั่งโวยกรรมการหลังถูกคู่แข่งอัดร่วงแล้วไม่ได้ฟาวล์ หรือ การทำหน้าตายคล้ายไม่แคร์สิ่งใดในโลก คือหนึ่งในปัญหาที่ติดตัว แรชฟอร์ด มาช้านาน

นอกจากนี้ แรชชี ยังถูกมองว่า ไม่ทุ่มเทเพื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด เท่าที่ควร โดยเฉพาะในการเล่นเกมรับที่มักจะปล่อยให้ฟูลแบ๊กของคู่แข่งพาบอลผ่านไปดื้อโดยไม่คิดจะไล่ หรือ ไล่ก็ไม่สุด

หัวหอกวัย 26 ปี ถูกวิจารณ์แบบยับ ๆ หลังเกมแพ้ นิวคาสเซิล โทษฐานปล่อยให้ ตีโน ลิฟราเมนโต เติมเกมรุกได้แบบสะดวกโยธิน

อย่างไรก็ตาม สต๊าฟฟโค้ชของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่คุ้นเคยกับ แรชฟอร์ด เป็นอย่างดี ออกมาแก้ต่างแทนว่า แท้จริงแล้วปัญหาไม่ได้อยู่ที่ แรชฟอร์ด ขี้เกียจไล่ แต่มันเป็นเพราะเจ้าตัวขาดเซนส์ในเกมรับจนทำให้มักจะขยับตัวตามฟูลแบ๊กของคู่แข่งที่ดันขึ้นมาเติมเกมรุกไม่ทันมากกว่า

กระนั้น ต่อให้เป็นอย่างที่ว่าจริง แรชฟอร์ด ก็ยังต้องพยายามสร้างประโยชน์ในเกมรับให้มากขึ้นอยู่ดีเพราะนั่นคือทางเดียวที่จะช่วยให้เขาสามารถกลับมาชนะใจ เทน ฮาก ได้อีกครั้ง

การเปลี่ยนบทบาทจากตัวจบมาเป็นตัวปั้น

ค่าเฉลี่ยในการพังประตูต่อนัดในพรีเมียร์ลีกของ แรชฟอร์ด ตกลงอย่างน่าใจหาย จากที่เคยทำได้ 0.57 ประตูต่อ 90 นาทีในฤดูกาลก่อน ตกลงมาอยู่ที่เพียง 0.16 ในฤดูกาลนี้ แถมการแอสซิสต์เฉลี่ยต่อนัดก็ลดลงจาก 0.18 ลงมาเหลือแค่ 0.08 เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม นอกจากจังหวะปิดบัญชีที่ไม่ได้คมกริบเหมือนซีซั่นก่อนแล้ว การปรับเปลี่ยนวิธีเล่นก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้ แรชฟอร์ด ยิงประตูได้น้อยลงเช่นกัน

ฤดูกาลนี้ เมื่อลงเล่นทางฝั่งซ้าย แรชฟอร์ด จำเป็นต้องถ่างออกไปเล่นทางกว้างมากขึ้นเพื่อเปิดทางให้กองหน้าคนใหม่อย่าง ราสมุส ฮอยลุนด์ ที่ถนัดเท้าซ้ายมีช่องว่างมากพอที่จะวิ่งสอดเข้าไปเอาบอลบริเวณพื้นที่ว่างฝั่งซ้ายของกรอบเขตโทษ

อีกทั้งมันยังทำให้ แรชฟอร์ด มีโอกาสลากบอลตัดเข้าใน และสับไกยิงแบบที่เราเคยเห็นกันจนชินตาในซีซั่นก่อนน้อยลงอีกด้วย

การย้ายเข้ามาของ ฮอยลุนด์ ทำให้ แรชฟอร์ด ต้องปรับเปลี่ยนวิธีเล่น โดยการเน้นลากบอลไปสุดเส้นหลัง และหักเข้าในเพื่อให้ ดาวยิงเดนมาร์ก ตามเข้าฮอส แทนที่จะลากตัดเข้าใน และยิงเองเหมือนเคย หรือ พูดง่าย ๆ ว่า ตอนนี้ แรชฟอร์ด ถูกเปลี่ยนบทบาทจากดาวถล่มประตูมาเป็นนักปั้นแทนเรียบร้อย

ความสับสนจากการถูกจับเปลี่ยนตำแหน่ง

ฤดูกาลนี้ เทน ฮาก พยายามจับ แรชฟอร์ด เปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อย ๆ ทั้งตัวริมเส้นฝั่งซ้าย ฝั่งขวา และ กองหน้าตัวเป้า เพื่อดูว่า เจ้าตัวจะเล่นได้ทรงประสิทธิภาพในตำแหน่งไหน

จะว่าไปมันก็คล้ายๆ กับสมัยที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จับ เวย์น รูนีย์ โยกไปเล่นมันแทบทุกตำแหน่งในแนวรุกนั่นแหละ

อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ต่างกันก็คือ แมนฯ ยูไนเต็ด ในปี 2023 ไม่ใช่มหาอำนาจลูกหนังที่อุดมไปด้วยพ่อค้าแข้งชั้นเซียนเหยียบเมฆเหมือนในยุคของ เฟอร์กี ด้วยเหตุนี้การจับจังหวะการเล่นในตำแหน่งใหม่ของ แรชฟอร์ด จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากกว่ามากเพราะ ปิศาจแดง ครองบอลได้น้อยกว่าในอดีตเยอะ และมันก็ทำให้ หนุ่มแรช ดูจะสับสนไม่น้อยกับการที่ต้องเปลี่ยนตำแหน่งมันแทบทุกสัปดาห์ หรือ ถ้าหนักกว่านั้นก็ต้องเปลี่ยนถึง 3 ตำแหน่งภายในเกมเดียว!

แล้วทีนี้ แรชฟอร์ด จะกลับมาเป็นตัวจริงได้ไหม?

กรณีของ แรชฟอร์ด แตกต่างกับกรณีของ คริสเตียโน โรนัลโด, เจดอน ซานโช หรือ อาจจะรวม ราฟาแอล วาราน เข้าไปอีกคนด้วยเพราะความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับ เทน ฮาก จัดอยู่ในระดับค่อนข้างดีเยี่ยม

ดังนั้นหากปรับทัศนคติให้ดีขึ้นสักนิด ปรับปรุงภาษากายสักหน่อย ขยันเพรส และขยันถอยลงมาช่วยเกมรับให้ได้เหมือน อันโตนี หรือ อเลฮานโดร การ์นาโช เชื่อเหลือเกินว่า แรชฟอร์ด ยังมีโอกาสหวนกลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง

อีกทั้งด้วยปัญหานักเตะบาดเจ็บ และโปรแกรมการแข่งขันที่ชุกชุมยิ่งกว่ายุง ไม่ว่าอย่างไรเสีย แรชฟอร์ด ก็จะได้กลับมาเป็นตัวจริงบ้างแน่นอน แต่จะกลับมาได้อย่างถาวรหรือเปล่า มันก็ขึ้นอยู่กับตัวของเขาเองเหมือนที่ เทน ฮาก พูดเอาไว้นั้นแล.