สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ว่า ดับเบิลยูเอชโอ ระบุว่า ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับผลกระทบ ผลิตโดยบริษัท ฟาร์มิกซ์ ลาบอเรทอรีส์ ในปากีสถาน และถูกตรวจพบครั้งแรกในมัลดีฟส์ และปากีสถาน อีกทั้งยังมีการพบผลิตภัณฑ์ที่ปนเปื้อนบางส่วนในเบลีซ, ฟิจิ และลาวด้วย

การแจ้งเตือนดังกล่าว ถือเป็นคำเตือนล่าสุดจากดับเบิลยูเอชโอ เกี่ยวกับยาที่ปนเปื้อนในลักษณะเดียวกัน ที่ผลิตในอินเดียกับอินโดนีเซีย ซึ่งเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตของเด็กประมาณ 300 คนทั่วโลก เมื่อปีที่แล้ว

แม้ดับเบิลยูเอชโอ ระบุในแถลงการณ์ เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ที่ผ่านมาว่า ไม่มีรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ใด ๆ เกี่ยวกับยาน้ำเชื่อมที่ผลิตในปากีสถาน แต่หน่วยงานเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ยกระดับการเฝ้าระวัง และทดสอบผลิตภัณฑ์ที่มาจากฟาร์มิกซ์ ระหว่างเดือน ธ.ค. 2564 ถึงเดือน ธ.ค. 2565

ทั้งนี้ การปนเปื้อนดังกล่าวถูกพบในยาน้ำเชื่อม “อาเลอร์โก” (Alergo) ในการตรวจสอบตามปกติขององค์การอาหารและยาแห่งมัลดีฟส์ เมื่อเดือน พ.ย. และได้รับการยืนยันจากหน่วยงานกำกับดูแลของออสเตรเลีย ในเวลาต่อมา

จากการตรวจสอบติดตามที่โรงงานผลิตยาของฟาร์มิกซ์ ซึ่งดำเนินการโดยหน่วยงานกำกับดูแลยาแห่งปากีสถาน (ดีอาร์เอ) พบว่า ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่งมีการปนเปื้อนเช่นกัน ส่งผลให้ดีอาร์เอ สั่งให้บริษัทหยุดการผลิตยาน้ำแบบรับประทานทั้งหมด และออกประกาศเรียกคืนผลิตภัณฑ์ เมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา

อนึ่ง ดับเบิลยูเอชโอ ระบุเพิ่มเติมว่า ยาที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด 23 ชุด ประกอบด้วย ยาน้ำเชื่อมอาเลอร์โก, ยาน้ำแขวนตะกอนเอมิโดเน (Emidone), ยาน้ำเชื่อมมูโคริด (Mucorid), ยาน้ำแขวนตะกอนอุลโคฟิน (Ulcofin) และยาน้ำเชื่อมซินเซลล์ (Zincell) ซึ่งจนถึงขณะนี้ มีเพียงยาน้ำเชื่อมอาเลอร์โกเท่านั้น ที่ถูกพบนอกปากีสถาน

“ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งถูกกล่าวถึงในการแจ้งเตือนนี้ ไม่ปลอดภัย และการใช้ยาเหล่านี้ โดยเฉพาะในเด็ก อาจส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บสาหัส หรือเสียชีวิตได้” ดับเบิลยูเอชโอ เตือนทิ้งท้าย.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES