นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ได้พูดคุยหารือเป็นการส่วนตัวกับ นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น ภายในองค์กรของกสทช. ทั้งการฟ้องร้องกันภายในของบอร์ดและปัญหาการประชุมบอร์ดที่ล่มบ่อยครั้งจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคม  จนกังวลว่า การไร้เอกภาพอาจส่งผลถึงการทำงานที่มีหลายเรื่องที่รอผ่านมติบอร์ดแต่ก็ล่าช้าออกไป เช่น เรื่องปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์  และภัยไซเบอร์หลอกลวงต่างๆ ที่มีการใช้โทรศัพท์มือถือ ที่กำลังสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนจนยอมรับว่าอยู่ในภาวะวิกฤติ

“ในฐานะ รมว.ดีอี จึงได้หารือกับประธาน กสทช.ว่า บอร์ดทั้ง 2 ฝ่ายมาต้องเปิดอกคุยกัน โดยจะให้นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน หรือตนเองในฐานะ รมว.ดีอี เป็นคนกลางก็ได้ ซึ่งได้เรียนนายกฯ ไปแล้วก็พร้อมจะเป็นตัวกลางเข้ามาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น“

รมว.ดีอี กล่าวต่อว่า ปัญหาความขาดเอกภาพของบอร์ดส่งผลเรื่องการออกประกาศบังคับผู้ครอบครองซิมการ์ด จำนวนมากลงทะเบียนยืนยันตัวตน เพื่อตัดปัญหาซิมผี ที่เป็นเครื่องมือแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงประชาชน เพราะนายกรัฐมนตรีก็กำชับและให้จัดการอย่างด่วนที่สุด แต่ประกาศฯดังกล่าวต้องรอเข้าบอร์ด กสทช. ทั้งๆ ที่เร่งด่วนมาก และท่าทีรับแจ้งก็พบว่าการประชุม 2-3 ครั้งล่าสุดก็ล่มเพราะองค์ประชุมไม่ครบ ทำให้ต้องใช้เวลาออกไปอีก และเมื่อผ่านบอร์ดก็ต้องไปจัดรับฟังความเห็นสาธารณะ (ประชาพิจารณ์) อีก 45 วัน กว่าประกาศฯจะมีผลบังคับใช้ จึงได้นำ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มาให้ระงับเบอร์ที่โทรฯออกเกิน 100 ครั้งต่อวัน ทันที

ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า ล่าสุดสำนักงาน กสทช.ลงชื่อเซ็นคำสั่งโดยนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการเลขาธิการ กสทช.ลงหนังสือด่วนที่สุด  ส่งถึงผู้ให้บริการมือถือ ระบุว่า สำนักงาน กสทช. จึงขอให้ผู้ให้บริการฯ ตรวจสอบเลขหมายที่มีการโทรฯออกมากกว่า 100 ครั้งต่อวัน ตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค.2566  ผู้ใช้บริการต้องแสดงตนพร้อมข้อมูล หลักฐานประกอบ กรณีเป็นการใช้งานโดยสุจริตต่อผู้ให้บริการ ภายใน 15 วันเพื่อให้สามารถใช้งานได้ตามปกติ หากผู้ใช้บริการไม่ได้รายงานตนภายในระยะเวลาดังกล่าวจะต้องถูกยกเลิกบริการต่อไป และให้แจ้งผู้ใช้ที่ลงทะเบียนใช้ซิมการ์ดมากกว่า 5 เลขหมายขึ้นไป ให้มารายงานตนต่อผู้ให้บริการภายใน 30 วันนับถัดจากครบกำหนดในวันที่ 11 ม.ค. 67 ไม่เช่นนั้นจะถูกระงับ และยกเลิกบริการ โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง