เมื่อวันที่ 4 ม.ค. เวลา 14.00 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท วาระแรก นายรอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายถึงการจัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตอนหนึ่ง ว่า นับจากเหตุการณ์ปล้นปืนเมื่อปี 2547 พบว่าสถานการณ์ความไม่สงบจนถึงปัจจุบัน พบว่าเกิดขึ้นแล้วกว่า  22,296 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บกว่า 20,000 คน  และมีผู้เสียชีวิตกว่า 7,000 คน  ทั้งนี้พบว่ารัฐบาลใช้งบประมาณเพื่อแก้ปัญหากว่า 540,000 ล้านบาท โดยในงบประมาณ ปี 2567 พบการเสนอของบรวม 25,000 ล้านบาท ซึ่งกำหนดโครงการไว้ในแผนงานบูรณาการแก้ไขปัญหาพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ถือว่ามีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 6.5 เปอร์เซ็นต์ โดยส่วนตัวมองว่างบประมาณดังกล่าวสามารถปรับลดได้ 1,032 ล้านบาท

“เป้าหมายแผนบูรณาการดับไฟใต้เพื่อความสงบเรียบร้อยและราบคาบ แต่ผมมองว่าไม่พอ เพราะเป็นสันติภาพเชิงลบ จึงต้องเพิ่มสันติภาพเชิงบวก คือความยุติธรรม เพราะผู้ที่ต่อต้านเป็นเพราะเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงต้องคุ้มครองสันติภาพ แก้ไขกฎหมาย แต่การจัดงบประมาณของรัฐบาลทำให้เกิดสันติภาพเชิงลบและเชิงลดเท่านั้น” นายรอมฎอน กล่าว

นายรอมฎอน กล่าวอีกว่า สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งกำหนดไว้นอกแผนบูรณาการ  3 ใน 4 อยู่ในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) รวมกว่า 5,000 ล้านบาท อาทิ งบประมาณเรื่องกำลังพลและการดำเนินงานของ กอ.รมน. วงเงิน 3,535 ล้านบาท ที่อาจเกี่ยวข้องกับกรณีของบุคลากรผีที่มีชื่อปฏิบัติงานในชายแดนภาคใต้ แต่ตัวไม่ได้ลงไปทำงานจริง ดังนั้น กอ.รมน.ต้องชี้แจงว่ามีคนทำงานจริงเท่าไร หรือเป็นงบประมาณที่ใช้หากินเท่านั้น นอกจากนี้พบว่ามีค่าตอบแทนพิเศษสำหรับผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ใน 52 หน่วยงาน รวมงบประมาณ 1,527 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้คนในพื้นที่ดำเนินการในส่วนดังกล่าว

นายรอมฎอน กล่าวอีกว่า ตนมีข้อเสนอไปยังรัฐบาลที่มีนโยบายด้านการยุติธรรมว่าขอให้ฟื้นคดีตากใบซึ่งเหลือเวลาอีก 10 เดือน จะหมดอายุความ โดยให้เป็นคดีพิเศษ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้ามาดำเนินการ อีกทั้งให้นายกรัฐมนตรีกำชับ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า เพราะแม่ทัพภาค 4 อาจจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้ทำไปเป็นการสปอยล์สันติภาพ และบั่นทอนกระบวนการสันติภาพ บางทีแม่ทัพภาค 4 เหมือนเป็นไบโพลาร์ เดี๋ยวอยากจะคุย เดี๋ยวอยากจะปิดปาก ตนจึงขอให้ยุติการฟ้องปิดปาก เพื่อให้เกิดการเจรจาสร้างสันติภาพ รวมถึงเปิดพื้นที่ทางการเมืองและเจรจาหาทางออกร่วมกันระหว่างคนในพื้นที่ โดยไม่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก และขอให้ปรับลดงบประมาณที่ซ้ำซ้อนของ กอ.รมน.ด้วย

จากนั้น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวชี้แจงว่า ตนขอบคุณ สส.ผู้อภิปรายเรื่อง กอ.รมน. และการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้เป็นปัญหาที่สะสมมานาน แต่ความรุนแรงลดลงอย่างมีนัย ซึ่งตนขอบคุณ สส.และทุกพรรคการเมือง รวมถึงหน่วยงานฝ่ายความมั่นคง กอ.รมน. และหลายๆ ฝ่ายที่พูดคุยกับประชาชน เพื่อช่วยลดปัญหาความรุนแรง ทั้งนี้ ตนเชื่อว่า กอ.รมน.มีจุดประสงค์เดียวกัน คือการคืนความสงบและความมั่นคงให้ประชาชน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลายคนให้ความสนใจ  และตนได้ลงพื้นที่ดังกล่าวครั้งแรกเมื่อเดือน พ.ย.2566 โดยได้พบกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และได้พูดคุยถึงปัญหาด้านความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย ปัญหาด้านเศรษฐกิจ และการเชื่อมโยงการค้าระหว่าง 2 ประเทศที่มีการพัฒนาหลายมิติ นอกจากนี้ ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียเดินทางเข้ามาในไทยช่วงวันหยุด กว่า 30,000 คน ทำให้โรงแรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เต็มหมด ตนจึงเชื่อว่าหากรัฐบาลสามารถทำให้ประชาชนมีเงินในกระเป๋า และมีชีวิตที่ดีขึ้น ปัญหาความรุนแรงน่าจะลดลง ควบคู่กับการทำงานร่วมกันของฝ่ายความมั่นคงของไทยกับมาเลเซีย จะทำให้ปัญหาน้อยลง อีกทั้งตนยืนยันว่ารัฐบาลและสมาชิกรัฐสภาทุกคนมีความใส่ใจในเรื่องความสงบความเรียบร้อย และความห่วงใยต่อประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่ สส.วิเคราะห์เรื่องงบประมาณของ กอ.รมน.นั้น ตนน้อมรับไปพิจารณาและพูดคุยเพื่อทำให้การจัดทำงบประมาณดังกล่าวสร้างประโยชน์สูงสุด ส่วนกรณีที่ระบุว่าหากมีความสงบ กอ.รมน.จะทำงานอะไรนั้น ขอให้ทุกคนไม่ต้องห่วง เพราะตนพูดคุยกับผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) แล้วว่ามีหลายเรื่องที่ต้องทำ อาทิ การช่วยเหลือประชาชนในเหตุการณ์อุทกภัย ภัยแล้ง การขุดบ่อเก็บกักน้ำ ซึ่ง กอ.รมน.ใส่ใจอยู่แล้ว

“ส่วนเรื่องไบโพลาร์ ผมไม่ใช่แพทย์ ก็ไม่ทราบว่าท่าน (แม่ทัพภาค 4) เป็นหรือไม่ แต่เท่าที่สัมผัสมาพบว่าท่านเป็นคนที่สม่ำเสมอ และดูเรื่องผลประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง อย่างไรก็ตาม ผมจะมีการประชุมที่หลังบัลลังก์เกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไป” นายเศรษฐา กล่าว

ต่อมา นายรอมฎอนลุกขึ้นใช้สิทธิชี้แจงในที่ประชุม ว่า เรื่องไบโพลาร์ ตนไม่ได้วิจารณ์ในแง่ของสุขภาพ แต่เป็นคำเปรียบเปรยถึงความไม่คงเส้นคงวาของการดำเนินนโยบาย การแปลงไปสู่ภาคปฏิบัติของ กอ.รมน.ที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ไม่ได้ละลาบละล้วงใครเป็นการส่วนตัว ส่วนการที่นายกฯ ระบุว่า กอ.รมน.หมดงานจะไปทำเรื่องอื่นนั้น ตนต้องเตือน สส.คนอื่นๆ ว่าอาจต้องรับมือกับ กอ.รมน.ที่เข้าไปยุ่ง อย่างไรก็ตาม ตนอยากให้นายกฯ ลงนามเซ็นรับรองร่างพ.ร.บ.ยุบ กอ.รมน. แล้วส่งมาให้สภาพิจารณาต่อไป