เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งคนที่เจอมรสุมครอบครัวมาอย่างหนักสำหรับ ลุกซ์ ชาญวิทย์ น้องชายของ ใบเตย อาร์สยาม ที่ถึงขั้นป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ล่าสุดเจ้าตัวออกมาเปิดใจถึงชีวิตฟ้าหลังฝนของพี่สาว รวมถึงควงหลานสาวสุดน่ารัก น้องเวทมนต์ มาอัปเดตความสนิทน้าหลาน ผ่านทางรายการคุยแซ่บshow แบบจัดเต็ม

ลุกซ์ เผยว่า “น้องเวทมนต์เลี้ยงไม่ยากนะ ให้ทำอะไรก็ทำ อาบน้ำเอง แปรงฟันได้แล้ว และมีความคิดเป็นของตัวเอง เช่น ชุด ไม่อยากใส่ตัวนั้น ไม่อยากใส่ตัวนี้ ชุดวันนี้ก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เหมือนโดนบังคับอยู่ ตอนพี่เตยและน้องเวทมนต์เจอกันครั้งแรก  ถ้าถามเวทมนต์เขาคงตกใจนิดนึงว่าทำไมคนมาที่บ้านเยอะจังเลย แล้วทำไมทุกคนดูแฮปปี้ มีความสุข บางคนก็ร้องไห้ เขาคงงงว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ซึ่งลุกซ์ว่าเขาเด็ก ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่ถามว่าดีใจไหม เขาดีใจ แม่กลับมาแล้ว ส่วนคลิปที่พี่เตยและน้องร้องเพลงสื่อถึงพี่แมน ลุกซ์ว่าพี่เตยคงคิดถึงแหละ แล้วเวทมนต์เขาก็ถามหาทุกวัน เขาคิดถึงพ่อเขา”

“ที่ลุกซ์แพ็กของออกจากบ้านไม่ได้ทะเลาะกับใคร ไม่ได้ทะเลาะ ส่วนตัวเราของเยอะมากๆ แล้ววันที่เราย้ายมาอยู่ที่บ้านเนี่ย ของเยอะ มันไม่ค่อยสะดวก อีกอย่างเราอยู่บ้านนี้มา 6-7 เดือนแล้ว เราก็อยากกลับไปใช้ชีวิตของเราบ้าง เพราะพี่เตยก็กลับมาแล้ว อยากให้เขาใช้โมเมนต์กับพี่เตยให้เต็มที่ แล้วเราส่วนตัวบ้านหลังนั้นคุณพ่ออยู่คนเดียว แล้วบ้านมันค่อนข้างโทรม พ่อไม่ค่อยได้ทำอะไร เราเลยกลับไปดูแลบ้านนู้นด้วย พี่เตยเองเขาก็ไม่อยากให้ไปเลย ก็คุยกันหลายวันเหมือนกันว่าจำเป็นต้องไปนะ เพราะว่าแบบที่ผ่านมาเราอยู่กับหลานมาทุกวัน เราใช้คนอื่น ความรักจากหลาน จากคนรอบตัวมาหล่อเลี้ยงเราว่าเราเข้มแข็ง แล้วสิ่งที่รู้สึกได้หลังจากที่พี่เตยกลับมาลุกซ์แฮปปี้มากนะ มีความสุขมาก แต่ลุกซ์ได้รู้จริงๆ ว่าชีวิตลุกซ์ไม่เหมือนเดิม เราก็คิดถึงแฟน เหมือนพี่เตยกลับมา แต่แฟนเราไม่ได้กลับมา เรารู้สึกว่านี่คือความจริงที่เราต้องเจอ เราเลยแบบลองไปเข้มแข็งกับตัวเองดู เพราะที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตอยู่กับความรักของคนอื่น ตอนนี้ย้ายไปอยู่บ้านอีกหลัง ไม่ไกลกัน ประมาณ 10-15 นาที”

ลุกซ์ เล่าต่อว่า “เรื่องการเป็นโรคซึมเศร้า เรียกว่าไปปรึกษามาดีกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองก็คือ หลังจากที่กลับมาอยู่กับตัวเองแล้วเนี่ยเหมือนร้องไห้ทุกวันเลย เหมือนเราเจอเรื่องที่เราสูญเสียไป คนรอบข้างเสีย หรือใครมีปัญหากับแฟน เรารับไม่ได้เลย เราเศร้ามาก เรารู้สึกว่าต้องเป็นอะไรสักอย่างแน่ๆ ทีนี้เราคิดว่าต้องไปหาคุณหมอ เพราะเรารับไม่ได้เลยกับการสูญเสีย มันเป็นอะไรก็ไม่รู้ เราจะร้องไห้หนักมาก แล้วคนรอบข้างเราก็รู้สึกว่าเราน่าจะมีปัญหา ก็เลยให้ไปปรึกษา คุณหมอเขาจะไม่ได้เคาะหรอกว่าเราเป็นอะไร แต่ตัวยามันจะบอก ตอนนี้ลุกซ์ต้องรับยาแล้ว แต่จริงๆ ลุกซ์ว่าลุกซ์เข้มแข็งมากนะ แต่แค่มันเป็นอาการเสียใจจริงๆ แหละ ได้รู้สึกว่าชีวิตได้กลับมาจริงๆ มันไม่เหมือนเดิม เราต้องดีลกับตัวเองว่าโอเค ชีวิตมันไม่มีเขาแล้ว มันต้องอยู่ให้ได้ เราต้องเข้มแข็ง ไม่ใช่ว่าเจอเรื่องสูญเสีย ใครเป็นอะไร แล้วเรามานั่งร้องไห้ นึกถึงแฟนมันคงจะไม่ได้ ถามว่าทุกวันนี้ดีขึ้นไหม คิดว่าดีขึ้นนะ เพราะยาทำให้รู้สึกบางวันแฮปปี้ ไม่เหมือนเมื่อก่อน รู้สึกตัวเองยิ้มแย้มแจ่มใส่”

“ตอนต้องดูเวทมนต์คนเดียว จริงๆ ต้องบอกว่าลุกซ์มีพี่เลี้ยงที่คอยดูแลน้องเวทมนต์อยู่ด้วยกัน บรรยากาศตอนนั้นช่วงแรกๆ มันแย่เลย เรามองหน้าหลาน เราร้องไห้ทุกครั้ง จนให้เขาไปอยู่กับคุณแม่ที่ภาคใต้ ตอนนั้นพี่ภูมิยังไม่เสีย เราก็ไปเยี่ยมพี่เตย พี่แมน แล้วก็ไปหาพี่ภูมิที่โรงพยาบาล แฟนไม่ได้สติอยู่เกือบ 2 อาทิตย์ ที่เราวิ่งๆ อยู่อย่างนั้น เรารู้สึกว่าถ้าเรามีหลานอยู่ด้วยที่บ้าน เราคงไม่ไหว ต้องดูแลหลาน เราเลยฝากเขาไปที่นู่น ก็พอเขากลับมา แฟนเสียแล้ว เราเลยเหมือนมีมิชชั่นว่าต้องดูแลเขา เราก็ทุ่มเททั้งกายและใจดูแลเขาให้เต็มที่ ไม่ให้เขาขาดเลย อย่างตอนเราไปเยี่ยมพี่แมน ไม่ได้ถือว่าแฮปปี้อะไร คนอยู่ในนั้นก็เศร้าอยู่แล้ว พี่เตยตั้งแต่เขาอยู่ในเรือนจำ ต้องได้รับการบำบัดอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ในนั้นได้รับการบำบัดอยู่แล้วของทุกๆ คน ลุกซ์ไม่แน่ใจว่าเป็นเลเวลไหน เพราะว่าเรารักษากันคนละเคส เท่าที่ทราบเลยคือไม่เหมือนกัน เรื่องคดีพี่เตยรู้สึกว่าจะเริ่มพิจารณาคดีเดือนกรกฎาคม ช่วงนี้ก็ทำมาหากิน เรื่องแก้บนให้พี่เตย แก้แล้ว แต่ของหนูยังไม่ได้แก้ ซึ่งในอนาคต น้องเวทมนต์ก็ให้เบบี๋เป็นเด็กดีนะลูกนะ ชีวิตครอบครัวเราไม่ง่ายเลย หนูผ่านอะไรมาด้วยความเก่งของหนูด้วย ขอบคุณหนูมากๆ ที่เป็นพลังใจ เป็นกำลังใจให้น้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อมาตลอดในช่วงเวลาที่ผ่านมามีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน ได้เห็นหนูเติบโต ไม่ว่ายังไงก็ตามน้าก็อยู่ข้างหลังหนูเสมอ คอยผลักดันให้หนูไปในสิ่งที่หนูชอบที่หนูอยากทำ จะรอดูหนูโตจนน้าแก่ไปเลย”