เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ที่สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง พ.ต.อ.ประสพโชค เอี่ยมพินิจ ผกก.สน.ห้วยขวาง เปิดเผยกรณีที่นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นทวีตข้อความว่า “ถูกรถแท็กซี่ใช้อาวุธมีดไล่ฟัน” โดยระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 5 ก.พ. ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 20.00 น. โดยชาวญี่ปุ่น 2 ราย หนึ่งในนั้นคือชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานาน และเป็นผู้ลงทวิตเตอร์ ได้เรียกรถยนต์แท็กซี่ ยี่ห้อโตโยต้า สีเขียว-เหลือง ทะเบียน มช 9763 กรุงเทพมหานคร จากบริเวณด้านหน้า ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ ถนน รัชดาภิเษก แขวงและเขตดินแดง กรุงเทพฯ เพื่อตรงไปยังร้านอาหารในซอยรัชดาภิเษก 3

ปรากฏว่าเมื่อนั่งในรถแล้ว แท็กซี่คันดังกล่าวไม่กดมิเตอร์และเรียกค่าโดยสาร 150 บาท ทั้งๆ ที่ระยะทางไม่ห่างกันมาก จึงทำให้ผู้เสียหายไม่พอใจ เลยพยายามที่จะลงจากรถ ปรากฏว่าถูกแท็กซี่คนดังกล่าวพูดจาต่อว่า และวิ่งมาจะทำร้ายร่างกาย โดยใช้เท้าเตะที่ผู้เสียหาย 1 ครั้ง แต่ผู้เสียหายหลบได้ทัน หลังจากนั้นผู้เสียหายก็ได้ใช้โทรศัพท์ถ่ายคลิปพฤติกรรมของแท็กซี่คนดังกล่าว กระทั่งชายขับแท็กซี่ได้กลับไปที่รถเพื่อหยิบอาวุธมีด แล้ววิ่งปรี่มาจะทำร้ายร่างกายอีกครั้ง ผู้เสียหายจึงพยายามที่จะวิ่งหลบหนี แต่เมื่อหันกลับไปปรากฏว่าแท็กซี่ขับรถหลบหนีออกไปแล้ว

พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวอีกว่า หลังเกิดเหตุแฟนของผู้เสียหายชาวญี่ปุ่นซึ่งเป็นคนไทยได้แจ้งเรื่องราวมายังเพจของ สน.ห้วยขวาง เมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. ในคืนเดียวกัน แต่ว่าทางแฟนของผู้เสียหายไม่ได้ให้เบอร์ติดต่อไว้ ทางตำรวจจึงพยายามที่จะติดต่อผ่านกลับไป ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จึงได้สั่งการให้ชุดสืบสวน สน.ห้วยขวาง เร่งรัดในการทำงานหาข้อเท็จจริงถึงกรณีที่เกิดขึ้น กระทั่งช่วงเช้าวันที่ 6 ก.พ. ก็สามารถติดต่อแฟนของผู้เสียหายได้ จึงได้แจ้งให้ผู้เสียหายชาวญี่ปุ่นเดินทางเข้ามาแจ้งความ และชาวญี่ปุ่นคนดังกล่าวก็ได้เข้าแจ้งความในเย็นวันที่ 6 ก.พ. ที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันชุดสืบสวน สน.ห้วยขวาง ก็ได้ทำงานอย่างสุดความสามารถ จนสามารถแกะรอยพิสูจน์ทราบคนขับรถแท็กซี่ผู้ก่อเหตุได้ พบว่าเป็นชายอายุ 72 ปี จึงได้แจ้งให้เข้ามาพบพนักงานสอบสวนในเย็นวันที่ 6 ก.พ. เช่นเดียวกัน โดยคนขับแท็กซี่ผู้ก่อเหตุให้การรับสารภาพอ้างว่า เกิดจากชาวญี่ปุ่นผู้เสียหายปิดประตูอย่างรุนแรง จึงทำให้เกิดอาการไม่พอใจ แต่ยืนยันว่าในคืนก่อเหตุ ไม่ได้เสพสารเสพติดหรือเมาสุรา ทั้งนี้ในระหว่างสอบปากคำนั้น คนขับแท็กซี่ผู้ก่อเหตุมีอาการปกติ ไม่พบสารเสพติดหรือเมาสุราแต่อย่างใด และยังยอมรับว่าเป็นคนมีอารมณ์ที่ฉุนเฉียว ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้

ทั้งนี้พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหา 4 ข้อหากับคนขับรถแท็กซี่ 1.ข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นแต่ไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจ 2.ทำให้ผู้อื่นตกใจกลัวด้วยการขู่เข็ญ 3.พกพาอาวุธมีดไปที่สาธารณะ และ 4.เก็บค่าโดยสารเกินอัตราที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งได้ส่งฟ้องยังศาลแขวงพระนครเหนือเรียบร้อยแล้วเมื่อวานนี้ (7 ก.พ.)

โดยศาลแขวงพระนครเหนือได้มีคำพิพากษาในข้อหาทำร้ายร่างกายและทำให้ผู้อื่นตกใจกลัว จำคุก 1 เดือน ปรับ 5,000 บาท แต่เนื่องจากผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ จึงลดโทษจำคุกเหลือ 15 วัน ปรับ 2,500 บาท ส่วนข้อหาพกพาอาวุธมีด ปรับ 500 บาท รวมโทษจำคุกทั้งสิ้น 15 วัน ปรับ 3,000 บาท แต่จากการที่ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ จึงให้รอลงอาญา 1 ปี

ส่วนข้อหาเก็บค่าโดยสารเกินอัตราที่กำหนด ทางพนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบปรับเป็นพินัยจำนวน 1,000 บาท และได้ทำหนังสือแจ้งไปยังนายทะเบียนขนส่ง กรมการขนส่งทางบก เพื่อพิจารณาให้พักใบอนุญาตขับขี่รถโดยสารสาธารณะและพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่รถโดยสารสาธารณะต่อไป

พ.ต.อ.ประสพโชค ยังชี้แจงข้อเท็จจริงอีกว่า จากกรณีที่มีสื่อบางสำนักนำเสนอข่าวกล่าวหาว่า ตำรวจไม่รับแจ้งความนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะจากข้อเท็จจริงที่ชี้แจงไปข้างต้น พบว่าผู้เสียหายได้ติดต่อกับพนักงานสอบสวนผ่านทางอินบ็อกซ์ แต่ไม่ได้ทิ้งเบอร์ติดต่อเอาไว้ จึงทำให้ทางพนักงานสอบสวนร่วมกับชุดสืบสวนของ สน.ห้วยขวาง เร่งรัดในการติดต่อให้ผู้เสียหายมาแจ้งความดำเนินคดีที่สถานีตำรวจ รวมทั้งเร่งรัดในการทำงานจนสามารถพิสูจน์ทราบตัวผู้กระทำความผิดได้ จึงเน้นย้ำว่า คดีนี้ทางตำรวจทำงานอย่างเต็มที่ตั้งแต่ที่ได้รับแจ้งเหตุ ไม่ได้ไม่รับแจ้งความตามที่สื่อบางสำนักได้นำเสนอไป

“จึงอยากฝากถึงสื่อมวลชนว่า หากเกิดเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นตามสื่อสังคมออนไลน์ โปรดโทรฯ เช็กไปยังท้องที่สถานีตำรวจที่เกิดเหตุก่อน เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง มิใช่เขียนข่าวให้ร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะจะทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กรตำรวจเสื่อมเสียและเป็นการนำเสนอข่าวที่ไม่เป็นความจริง จึงอยากให้สื่อมวลชนปรับปรุงการทำงานในเรื่องนี้ด้วย” ผกก.สน.ห้วยขวาง กล่าว.