ฮอตหนักมากสำหรับ “เบิ้ล ปทุมราช” นักร้องลูกทุ่งแถวหน้า ที่ล่าสุดจะมาย้อนชีวิตวัยเด็กสุดเกเร ทำคุณแม่เสียน้ำตามาแล้ว เปิดจุดเริ่มต้นเป็นศิลปินได้เพราะโซเชียลมีเดีย เคยโดนไดเรกต์หาเสนอเงิน ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow แบบจัดเต็ม
เบิ้ล เผยว่า “พื้นเพบ้านผม พ่อแม่เป็นคนอีสาน อาชีพเกษตรกร ชาวนา 100 เปอร์เซ็นต์ คุณพ่อก็รับจ้างทั่วไป ผมเรียกความลำบากเป็นของพ่อแม่ ด้วยความที่พ่อแม่ยากจนติดลบ ช่วงนั้นชาวนาส่วนใหญ่ชอบกู้หนี้ยืมสินเพื่อเอามาสร้างรายได้ในการทำงานเกษตร แต่ความเป็นลูก ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองลำบาก เพราะพ่อแม่เขาสร้างพื้นฐานความสบายให้เรา ไม่อยากให้เรารับรู้ เรามารู้ว่าพ่อแม่ลำบากตอนเราโต รู้ที่มาของเงินรู้ที่มาของการกู้มา รายได้ชาวนา ผมว่าหนึ่งปีมากสุดคงไม่เกิน 4-5 หกหมื่น นี่ไม่รวมค่าปุ๋ย แต่ถ้ารายได้เฉลี่ยต่อวัน วันละ 170-200 บาท ผมเซนซิทีฟมากขึ้นในการใช้ชีวิต ในวัย 14-15 พอรู้ว่าเงินที่ได้มา มีจุดพีคคือเห็นพ่อแม่ต้องขายทรัพย์สินที่สำคัญในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นวัวควาย ที่ไร่ที่นาที่เคยซื้อไว้ จริงๆ เป็นมรดกแต่เขาต้องขายส่งพี่ชาย ซึ่งคนละพ่อ เขาส่งเรียนหนังสือจนจบปวส. จนมารู้ว่าวันหนึ่งพ่อแม่ใช้หนี้ไม่ทัน เกษตรกรชาวนารายได้ไม่ดี เขาต้องขายทรัพย์สินที่มี ไม่ว่าจะรถไถนา ที่นาที่ซื้อไว้ ไร่นาของปู่ย่าตายาย เราก็เลยรู้สึกว่าวันที่เราสบาย วันนั้นเป็นวันที่พ่อแม่ลำบากโคตร ก็มีจุดเปลี่ยนตรงที่จะทำอย่างไรให้เขารู้สึกว่าเขาเสียกับเราน้อยลง ผมใช้วิธีการแก้ปัญหาผิด จากที่เขาส่งเงินให้เราเรียน ผมก็ไม่เรียนหนังสือเลยดีกว่า ไม่เรียนเลยในปีนั้น ผมย้าย 4 โรงเรียน”
“ตอนนั้นเกเรสุดๆ สุดๆ เลย ช่วงเกเรของผมมีสองช่วง ช่วงไม่อยากเรียนหนังสือเพราะไม่ชอบถูกบังคับ ไม่ชอบตื่นเช้า จันทร์-ศุกร์ ไปแก้ ร. ไปแก้เอาคะแนน ไม่อยากอยู่ในกฎเกณฑ์ไม่อยากอยู่ในกรอบห้องเรียน ไปโรงเรียนก็ถือสมุดเล่มเดียว 12 วิชา แล้วก็นั่งดูดบุหรี่ในป่าคนเดียว ไม่เข้าเรียน คุณครูส่งซองขาวให้พ่อแม่ผมก็ฉีกทิ้งหมด พอจบม.ต้นก็ย้ายไปเรียนสายอาชีพ เทคนิคอำนาจเจริญ ช่วงนั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเด็กม.ปลาย ก็กลายเป็นเด็กเกเร ดูดบุหรี่ เที่ยวหมอลำ ตีรันฟันแทง จะคบเพื่อนที่ไม่ใช่ 16 คบเพื่อนอายุ 30 32 งานลอยกระทงทุกปี งานปิดวิกหมอลำ ผมต้องมีชื่อ และวิ่งหนีลูกปืนเข้าโรงสีข้าวทุกปี จริงๆ เราอาจไม่ใช่ผู้สร้างความร้าวฉานตรงนั้น เพียงแต่มีคำว่ากลุ่ม พรรคพวก ปัจจุบันก็เจออยู่นะ เรื่องเฉียดตาย เป็นงานลอยกระทง ตอนนั้นตั้งใจไปแบบผู้ดี ไม่ทะเลาะกับใคร ประมาณ 10 ปีที่แล้ว ผมแต่งตัวหล่อ ฉีดน้ำหอม ขี่เวฟร้อย ตั้งใจไปขอพรพระแม่คงคาให้ชีวิตดีขึ้น แต่สุดท้ายชีวิตถูกปลูกฝังไว้ว่าอดีตที่ทำไว้ อดีตที่สร้างความร้าวฉานในช่วงวัยรุ่นเอาไว้ มันตามกลับมาสนอง มันมีคนมาดักเพื่อทำร้ายเรา ดักแก้แค้นเรา จังหวะนั้นเราเหมือนมีเซนส์ หลังลอยกระทงเสร็จ แยกย้ายกลับบ้าน มีมอเตอร์ไซค์ประมาณ 4-5 คน หมุนล้อกลับมาหาเรา แล้วบีบแตรเรียกกัน จริงๆ อยากจอดรถวิ่ง แต่เสียดายเป็นรถพ่อยังใช้ไม่หมด ไอ้เติ้ลบอกให้เหยียบๆ แต่ทีนี้มอเตอร์ไซค์ 5-10 คันเขาจะดัก แต่คนมีปืนอยู่ข้างหน้า ฝั่งซ้ายเป็นโรงสีข้าวกับเสาไฟฟ้า เหยียบประมาณ 120 เหมือนจะห่างตามไม่ทันแล้ว ลูกปืนตู้ม เฉียดข้างหูไปเลย ถ้าโดนก็น่าจะกลายเป็นศพ รถมอเตอร์ไซค์ล้ม แขนฟาดกับถนนเป็นแผล แล้วทิ้งมอเตอร์ไซค์วิ่งไปในป่า หายใจถี่ๆ บอกว่ากูไม่อยากตาย”
เบิ้ล เล่าต่ออีกว่า “พ่อแม่รู้ทุกเรื่อง ฝั่งแม่จะแก้ปัญหาด้วยการถามไถ่ตลอดว่าเลิกได้มั้ย ไม่ไปได้มั้ย ยานอนไม่หลับ แม่ร้องไห้ แต่พ่อผมใช้วิธีการเงียบและใช้ความเจ็บปวดให้ลูกเห็น พ่อจะพูดทีเดียว ถ้าไม่ฟังก็ไม่พูดอีกเลย วันที่พีคสุดคือเห็นแม่น้ำตาไหล ผมถีบมอเตอร์ไซค์ใส่แม่ แม่ห้ามว่าไม่ไปได้มั้ย แต่ด้วยความดื้ออยากไป เมาเหล้าขาวด้วย ก็บอกว่าอยากไป อย่ามาห้าม ช่วงนั้นเราก็มีข่าวไม่ดี โดนทำร้ายด้วยแม่ก็ห้าม แม่ถอดกุญแจออกเหมือนจะเอาไปเก็บให้ ผมก็ถีบมอเตอร์ไซค์ใส่บันได ตึ้ง แม่ก็ร้องไห้น้ำตาไหล บอกว่าอยากไปก็ไป ยื่นกุญแจให้ ความรู้สึกตอนนั้นคือมันชาที่เห็นน้ำตาของแม่ แต่ก็อยากเอาชนะแม่ในวันนั้น ยังไงก็ต้องไป เหมือนมีสองร่างอยู่บนบ่า ร่างนรกบอกว่ามึงไปเลย ไม่ต้องซีเรียส แม่มึงให้กุญแจแล้ว อีกร่างสวรรค์บอกว่ามึงทำแม่น้ำตาไหลนะ เคยได้ยินยายพูดให้ฟังมั้ยตอนเด็ก เวลาใครทำพ่อแม่น้ำตาไหล ตกนรกไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด มันเหมือนมีสองฝ่ายคุยกัน วันนั้นฟังพ่อแม่เท่ากัน มันเถียงกัน แล้วผมก็บอกว่าเฮ้ย หลีกทางให้กูก่อน กูตัดสินใจเอง ก็เดินมาปากซอย บอกว่าทะเลาะกับแม่ กูไม่ไปดีกว่า แต่ก็กินเหล้าอยู่แถวนั้น เสพอบายมุขอยู่แถวนั้น ไม่ได้เข้าบ้านสมัยก่อนมีความขี้อาย ไม่ได้เป็นเบิ้ลที่ขี้เล่นกล้าพูดแบบนี้ วันนั้นผมก็เลือกไม่ไปขอโทษแก ช่วงนั้นก็เริ่มคิดแล้วนะ น้ำตาแม่เปลี่ยนนิสัยผมได้ 50 เปอร์เซ็นต์เลย ผมคิดในใจว่าถึงจะทำเลวเหมือนเดิม ถึงจะเที่ยวกินเหล้าเป็นนักเลงเหมือนเดิม แต่กูจะไม่ทำให้แม่น้ำตาไหลอีกแล้ว สองคือจะทำอย่างไรให้เขารู้สึกว่าเราเป็นภาระของเขา ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ 17-18 เพื่อนก็ย้ายไปทำงานก่อสร้าง ไปอยู่กรุงเทพฯ ผมไม่เคยไปกรุงเทพฯ เลย ตั้งแต่อายุ 15-16 ไม่เคยเหยียบกรุงเทพฯ ไม่รู้จักทองหล่อ”
“ความเงียบของพ่อ และการเปลี่ยนแปลงของแม่ที่เคยพูดกับเราบ่อยๆ กลายเป็นไม่กล้าพูดกับเรา ไม่รู้ว่าแม่กลัวเราหรือเจ็บปวดกับสิ่งที่เราทำหรือเปล่า พ่อแม่ขยันมากเลยนะ รับจ้างไถนา ได้อาทิตย์ละ 700 บาท ให้ลูกเรียน แต่เรากลับไม่ตั้งใจเรียน ก็พูดกับตัวเองตลอด เรื่องเที่ยวหมอลำก็เริ่มไม่ค่อยไปแล้ว และจะทำอย่างไร อยากสัญญาอะไรกับตัวเองจะมีคำนึงกลับมาว่ามึงทำไม่ได้หรอก เพราะทำตัวแบบนี้ คนอื่นรู้นิสัยหมดแล้ว คำสัญญาของมึงไม่มีอยู่จริง ทำให้ได้ก่อนแล้วค่อยพูด ลุงป้าน้าอาเขาสงสารพ่อแม่ ทำไมเกิดมาหน้าตาดี นิสัยดีตั้งแต่เด็ก แต่ทำไมโตมาทำให้พ่อแม่ไม่สบายใจ ตอนนั้นอายุประมาณ 16 ผมก็บอกแม่ว่าจะไปทำงานที่กรุงเทพฯ จะไปทำงานก่อสร้าง พ่อก็บอกว่ามึงทำไม่ได้หรอก แค่ทำนาเกี่ยวข้าวมึงยังตื่นสายเลย (หัวเราะ) มันประจวบพอดีกับพี่สาวข้างบ้านเขามีแฟนเป็นคนจีนอยู่ราชบุรี อ.บางแพ เขาเปิดร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ ผมไปกินเหล้ากับเขา เขาก็ถามว่าผมอายุเท่าไหร่ ไม่ได้เรียนหนังสือเหรอ งั้นไปทำงานกับพี่ พี่เปิดร้านมอเตอร์ไซค์อยู่บางแพ จ.ราชบุรี มึงก็ไปช่วยหยิบจับโน่นนี่นั่น เดี๋ยวจะช่วยสอนเรื่องการซ่อมรถด้วย เผื่อใช้เป็นวิชาในชีวิต แต่ไม่มีเงินเดือนให้นะ ผมก็คิดไม่เยอะ อาจเมาเหล้าด้วยตอนนั้น ผมก็ไป วันที่ 4 เขาก็ให้ลาพ่อแม่เลย พ่อแม่ก็งงว่าผมจะทำได้เหรอ อยากบอกพ่อกับแม่ว่า พูดเรื่องพ่อแม่ผมร้องไห้ตลอดเพราะผมเซนซิทีฟ พ่อไม่เคยอยากให้ผมรู้สึกว่าต้องรักษาชื่อเสียงตรงนี้ไว้ พ่ออยากให้ผมรักษาสุขภาพ แต่สิ่งที่ผมห่วงที่สุดคือสุขภาพพ่อแม่เหมือนกัน วันที่ผมดัง เปลี่ยนจากเงินค่าตั๋ว 400 บาทที่พ่อแม่ให้ผมมา ผมมาเปลี่ยนเป็นเงินหลักล้าน ผมหาได้ แต่สิ่งที่ผมอยากเห็นตอนนี้คือความเปลี่ยนแปลงของครอบครัว อยากเห็นรอยยิ้มและมีความสุขกับการใช้ชีวิต ไม่อยากให้โหมทำงานหนักเหมือนเดิม สักวันนึงผมก็ต้องคืนสู่จุดเริ่มต้นที่เคยจากมา ไม่เคยคิดว่าชื่อเสียงจะอยู่กับผมตลอดชีวิต สองขาผมยังอยู่บนดินเสมอ อยากให้แม่รู้ว่านี่คือลูกพ่อแม่ตลอดไป น้ำตาที่แม่เสียมา อยากให้รู้ว่ามันจะไม่สูญเปล่า ผมไม่มีวันทำให้แม่เจ็บปวดแบบนั้นอีกต่อไป ผมรักแม่ที่สุด ช่วงที่เราไม่มีครอบครัว ไม่มีเมีย ไม่มีลูก พ่อแม่คือคนที่เราอยากซัพพอร์ตที่สุด”
“ล่าสุดที่ถอดเสื้อออกโซเชียล เห็นผมเป็นแบบนี้ ผมเป็นดาวทวิตเตอร์ เหมือนปกพระเอกหนังโป๊ (หัวเราะ) ด้วยความขี้เล่น พูดจาบ้านๆ ดิบๆ จะมีกลุ่มแฟนคลับ 3 กลุ่ม กลุ่มใหญ่สุดคือผู้หญิง รองลงมาคือเก้งกวาง สามรุ่นพี่ที่เขารัก เขาอยากเห็นเป้าเห็นอะไร แต่กลุ่มที่ผมตกใจที่สุดคือกลุ่มทวิตเตอร์ ผมไม่เคยเห็นภาพผมอยู่บนคอนเสิร์ตเลย มีแต่ภาพตำส้มตำ มีเงาออกมาจากกางเกง และมีคอมเมนต์ว่าลงเยอะๆ นะ โอนลี่แฟนครับ มีแอบถ่ายอวัยวะเพศมา มีหลายอย่าง เป็นผู้ชายเลย เยอะมาก มีบอกอัดคลิปให้หน่อย 1 แสนบาท ผู้หญิงก็บอกว่าไปดูหนังด้วยได้มั้ย อายุ 40 กว่า ปัจจุบันอาจเก่งในวงการ แต่ยังมีความใสซื่อบริสุทธิ์อยู่ ผมไม่ไป ถ้าจะได้เงินจากการถ่ายแบบนั้นก็ไม่เอา ส่วนรอยสักพญานาค ตอนบวชก่อนรับราชการทหารได้ไปบวช เป็นความเชื่อส่วนตัว มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นตอนเบิ้ลไปบวชและปฏิบัติธรรมอยู่ชัยภูมิ”