ถึงแม้ภาพที่ออกมา “นายใหญ่” สวมใส่อุปกรณ์ดามคอและเฝือกอ่อนที่แขน หลังออกจากโรงพยาบาล และภาพ “นายใหญ่” นั่งรถเข็นไปรายงานตัว เพื่อรับทราบคำสั่งในคดีที่โดนกล่าวหาตามมาตรา 112 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด เมื่อวันที่ 19 ก.พ. ที่ผ่านมา จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ว่า “ไม่เนียน”

จนกระทั่งเย็นวันที่ 20 ก.พ. ทีมโฆษกพรรคเพื่อไทย โดยนายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย ต้องแถลงถึงอาการป่วยของนายทักษิณ ชินวัตร ตอนหนึ่งว่า “ได้สอบถาม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคแล้ว ที่ท่านใส่เฝือกคอเพราะเป็นโรคกระดูกคอเสื่อม หมอแนะนำให้ผ่าตัด แต่ขอออกมาก่อน เพราะยังมีหลายโรครุมเร้า คล้องแขนเพราะเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย ผ่าตัดแล้วแต่ยังไม่ปกติ อยู่ รพ. ไม่ได้ออกกำลังกาย และก่อนหน้านี้ติดโควิด 3 รอบ อาการหนักถึงขั้นเข้าไอซียู อายุ 70 ปีแล้ว จึงยังมีอาการรุมเร้าตลอด”

แต่ไม่ว่าจะ อมพระมาพูด ก็ไม่มีใครเชื่อ เพราะช้าไปแล้ว ที่คนส่วนใหญ่ในสังคมจะเชื่อว่า “ป่วยทิพย์” อีกทั้งภาพที่ปรากฏออกมา ก็ไปกระตุกต่อมหมั่นไส้ให้กลับฝ่ายตรงกันข้าม เพิ่มข้อหา “ซูเปอร์อภิสิทธิ์ชน” หลังจากบรรลุภารกิจตามที่เคยประกาศไว้ คือ “กลับบ้านอย่างเท่ๆ โดยไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว”

และที่แสดงให้เห็นถึงความมากบารมีของ “นายใหญ่” ทันที เมื่อ สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน ประธานคณะองคมนตรีกัมพูชา และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งเดินทางจากกัมพูชามาโดยเครื่องบินส่วนตัว และนั่งรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ มายบัค S 580 e ทะเบียนป้ายแดง ร 3355 กรุงเทพมหานคร มาถึงและเลี้ยวเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า พร้อมโพสต์ภาพเข้าเยี่ยม พร้อมระบุความสัมพันธ์อันสนิทแนบแน่นตั้งแต่สมัยที่ “ทักษิณ” อดีตเจ้าพ่อด้านการสื่อสาร เข้าไปทำธุรกิจที่กัมพูชา ตั้งแต่ปี 2535 ก่อนที่จะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 44  

“เดินทางมาเยี่ยมทักษิณที่บ้านใน กทม. แม้จะยังป่วย แต่ทักษิณได้ให้การต้อนรับอย่างดีแบบพี่น้อง โดยมี “อุ๊งอิ๊ง” ลูกสาวคนเล็ก หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ร่วมให้การต้อนรับด้วย ทั้งนี้ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ได้เชิญ “อุ๊งอิ๊ง” ไปเยือนกัมพูชา ในวันที่ 14-15 มี.ค. นี้ ซึ่งการพูดคุยกันไม่มีเรื่องการเมือง มีแต่การรำลึกความทรงจำในมิตรภาพระหว่างกันตลอด 32 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 1992 ขอบคุณพี่ชายและหลานที่ให้การต้อนรับอย่างดี”

ซึ่งภาพความยิ่งใหญ่แบบนี้ อย่างน้อยก็ ปลุกกระแส ความนิยม เหมือนครั้งที่ “นายใหญ่” ยังดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี

อีกทั้งที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตั้งแต่มีการตั้งพรรคไทยรักไทย ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่วันที่ 14 ก.ค. 2541 ผ่านการยุบพรรคมาหลายครั้ง จนมาถึงพรรคเพื่อไทย ในปัจจุบัน ตลอด 26 ปีที่ผ่านมา “ทักษิณ  ชินวัตร” คือเจ้าของพรรคตัวจริง คือผู้ชี้เป็นชี้ตาย กำหนดยุทธศาสตร์และทิศทางพรรค สส. แกนนำพรรคมาตลอด 26 ปี

แม้แต่ช่วงหนีไปต่างประเทศ 17 ปี อำนาจศูนย์กลางการเมืองไทยก็ย้ายไปอยู่ ที่ “ดูไบ” ทันทีเช่นกัน รวมถึงการตั้งรัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” คนที่เคาะโต๊ะสรุปการดีลเจรจากับ “ลุง” การเจรจากับผู้นำจิตวิญญาณพรรคส้ม อย่าง “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ฮ่องกง หรือแม้แต่การตั้ง “ครม.เศรษฐา” ทั้งที่สิงค์โปร์ ฮ่องกง คำตอบสุดท้ายก็คือ “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นคนตัดสินใจ

วันนี้ “ทักษิณ” อยู่ประเทศไทย ก็จะกลับมาเป็นศูนย์กลางอำนาจการเมืองไทย ที่ทุกขั้วจะวิ่งเข้าหา เป็นยิ่งกว่า “ซูเปอร์นายกรัฐมนตรี” …โดยจะเริ่มจากการปรับ “ครม.” ที่จะเกิดขึ้น หลังปิดสภา วันที่ 9 เม.ย. นี้ เป็นต้นไป.