เมื่อวันที่ 28 ก.พ. ที่ สภ.เมือง จ.สมุทรสาคร นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี เดินทางพาแม่และยาย ของ ด.ญ.เอ (นามสมมุติ) และ ด.ญ.บี (นามสมมุติ) ทั้งคู่ อายุ 12 ขวบ นักเรียนชั้น ป.6 ไปพบกับ พ.ต.อ.พิเชษฐ์พงศ์ แจ้งค้ายคม ผกก.สภ.เมืองสมุทรสาคร เพื่อประชุมและติดตามคดี กรณี นายใหญ่ (นามสมมุติ) อายุ 54 ปี เป็นเจ้าของค่ายมวยและเป็นครูฝึกมวย แห่งหนึ่งใน จ.สมุทรสาคร และเป็นอดีตตำรวจบ้าน ข่มขืนกระทำชำเรา 2 เด็กหญิง ซึ่งเป็นนักชกมวยรุ่นเยาว์ในค่ายหลายครั้ง ตั้งแต่ปี 66 จนถึงเดือน ก.พ. 67 ซึ่งแม่และยาย 2 เด็กหญิงได้แจ้งความไว้แล้ว ตำรวจส่งเด็กทั้ง 2 ไปตรวจร่างกาย สอบสหวิชาชีพแล้ว ขณะที่เจ้าของค่ายมวยรู้ตัวหลบหนีไม่กลับมาค่ายอีก ทางผู้ปกครองเด็กกลัวคดีจะเงียบหายไป จึงมาร้อง นางปวีณา ให้ความช่วยเหลือดังกล่าว

โดย ยายของ ด.ญ.เอ เล่าทั้งน้ำตาว่า ยายเลี้ยงหลานมาตั้งแต่เกิด เพราะแม่เด็กต้องไปทำงาน หลานชื่นชอบการชกมวยมาก เพราะจะได้ฝึกป้องกันตัว ซึ่งค่ายมวยของ นายใหญ่ อยู่ไม่ไกลจากบ้าน จึงให้หลานไปเรียนตั้งแต่ ป.1 อายุ 7 ขวบ จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 5 ปี ที่ค่ายมวยจะมีเด็กและเยาวชนทั้งชายและหญิงประมาณ 10 กว่าคน เป็นเด็กหญิงอายุ 12 ขวบ จำนวน 3 คน คือ ด.ญ.เอ, ด.ญ.บี, ด.ญ.ซี ตอนแรกยายจ่ายค่าเรียนชกมวยให้ครูวันละ 100 บาท พอเด็กเก่งขึ้น ครูก็พาไปชกตามที่ต่าง ๆ ครูก็ไม่เก็บค่าสอนแล้ว เพราะเวลาได้เงินรางวัล ครูก็หักค่าฝึกซ้อมในค่ายมวย ส่วนที่เหลือก็จะให้เด็กบ้าง ครั้งละประมาณ 400-500 บาท โดยหลานไปแข่งขันตามที่ต่างๆ ตั้งแต่ 8-9 ขวบ มีชนะบ้าง แพ้บ้าง และก็ได้เป็นแชมป์หลายรายการ ตอนหลานอายุ 11 ขวบ มีครั้งหนึ่งได้ไปแข่งในรายการที่ “รถถัง จิตรเมืองนนท์” นักชกมวยไทยชื่อดังจัดขึ้น เป็นรุ่นของเด็กและเยาวชน หลานได้ขึ้นชกกับนักชกเด็กหญิงชาวจีน ชนะได้ถ้วยรางวัล “นักชกดุเดือด”

ที่ผ่านมา หลานเป็นคนที่ขยันฝึกซ้อมมวยและตั้งใจเรียน แต่จู่ ๆ วันที่ 28 ม.ค. 67 หลานก็พูดขึ้นมาว่า “หนูอยากตายแล้วไปเกิดใหม่” ยายตกใจมากว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับหลาน แต่หลานก็ไม่ยอมบอก จนกระทั่งวันที่ 31 ม.ค. 67 ตอนเย็นยายไปรับหลานที่ค่ายมวย วันนั้นเป็นวันที่ครูจ่ายเงินค่าชกมวยให้กับเด็ก ๆ มี ด.ญ.ซี อายุ 12 ขวบ ที่ซ้อมมวยรุ่นเดียวกับหลาน วิ่งมาบอกยายว่า “ยายรู้มั้ย ว่ามีไอ้เฒ่าในค่ายมันตอกพวกหนู” ยายจึงถามจนเข้าใจว่า “ตอก” ตามประสาที่เด็กในค่ายมวยคุยกัน คือ “ข่มขืน/การมีเพศสัมพันธ์”

จากนั้นยายจึงได้ถาม ด.ญ.เอ หลานสาวบอกว่าถูก นายใหญ่ ครูฝึกมวย ข่มขืนตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ย. 66 เรื่อยมา ล่าสุดช่วงเดือนช่วงเดือน ม.ค. 67 โดยถูกกระทำที่บ้านครูฝึกมวย และที่ห้องพักนักมวยในค่ายมวยที่ฝึก เวลาที่ไม่มีใครอยู่ เด็กไม่กล้าขัดขืน เพราะก่อนจะลงมือข่มขืน นายใหญ่จะวางปืนไว้ให้เด็กเห็นจนเกิดความกลัว หลังข่มขืนเสร็จนายใหญ่ก็ข่มขู่ว่า “ถ้าไปบอกใครกูจะยิงมึงให้ตาย”

รูปภาพนี้มี Alt แอตทริบิวต์เป็นค่าว่าง ชื่อไฟล์คือ 1479994.jpg

ที่ผ่านมา หลานไม่กล้าบอกใครเพราะกลัวนายใหญ่ และกลัวจะไม่ได้ชกมวยอีก แต่ก็สุดจะทนแล้ว จึงได้นำเรื่องไปคุยกับ ด.ญ.บี และ ด.ญ.ซี จึงรู้ว่าทั้งสองคนก็ถูกนายใหญ่ข่มขืนด้วย เด็ก ๆ ไม่อยากทนทุกข์อีกต่อไป จึงตัดสินใจบอกยายและพ่อแม่ในวันที่ไปรับที่ค่ายมวยเย็นวันที่ 31 ม.ค. 67 เด็ก ๆ ยังบอกอีกว่า นายใหญ่ ครูฝึกมวย เป็นคนดุมาก เวลาเด็กทำไม่ถูกใจก็จะทำร้ายเด็กโดยการตบ เตะ และชอบพกอาวุธปืน เอาปืนมาเช็ด ถือปืนให้เด็ก ๆ ในค่ายมวยเห็น ทุกคนจึงกลัวนายใหญ่มาก

วันนั้นหลังรู้เรื่อง ยายและแม่ ด.ญ.เอ กับ ด.ญ.บี รู้เรื่องลูกหลานถูกข่มขืน จึงได้ต่อว่า นายใหญ่ ครูฝึกมวย และนายใหญ่ก็ได้ขับรถหลบหนีออกไปจากค่ายมวยทันที ซึ่งทุกวันนี้ยังไม่กลับมา ส่วนลูกสาวนายใหญ่ ที่เป็นครูฝึกมวยด้วย ก็ข่มขู่ผู้ปกครองด้วยว่า “ถ้าเด็กคนไหนย้ายค่ายมวยก็จะฟ้องให้หมด” จากนั้นยาย ด.ญ.เอ กับแม่ ด.ญ.บี ตกลงพากันเข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองสมุทรสาคร ตำรวจส่งเด็กทั้งสองไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล และสอบสหวิชาชีพแล้ว

ยาย ด.ญ.เอ กับแม่ ด.ญ.บี จึงตัดสินใจพาเด็กทั้งสองมาขอให้มูลนิธิปวีณาฯ ช่วยติดตามคดี นอกจากนี้ ยาย ด.ญ.เอ กับแม่ ด.ญ.บี ยังทราบว่ามีเด็กหญิงที่เคยฝึกซ้อมมวยที่ค่ายนี้ ถูกนายใหญ่ข่มขืนอีกหลายรายแต่ไม่กล้าแจ้งความ ยายต้องการจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด และไม่อยากให้เด็กหญิงคนอื่น ๆ ตกเป็นเป็นเหยื่อครูฝึกมวยหื่นรายนี้อีก อยากให้ตำรวจจับกุม นายใหญ่ มาดำเนินคดีโดยเร็ว เพราะเด็ก ๆ กลัวนายใหญ่ที่มีอาวุธปืนข่มขู่จะฆ่า และนายใหญ่ยังเคยเป็นตำรวจบ้านมาก่อน เกรงครอบครัวเกรงจะไม่ปลอดภัย

ด้านแม่ของ ด.ญ.บี กล่าวว่า บ้านของตนอยู่ใกล้ค่ายมวยของนายใหญ่ และตนมีหลานชายไปฝึกมวยที่ค่ายตั้งแต่เล็ก ๆ ด.ญ.บี ลูกสาวได้ตามไปดูด้วยแล้วเกิดความชื่นชอบอยากจะชกมวยบ้าง ตนจึงให้ ด.ญ.บี เรียนชกมวยที่ค่ายมวยของนายใหญ่ ตั้งแต่เรียนอยู่ ป.3 ช่วงแรกค่าเรียนวันละ 20 บาท จากนั้นพอเด็กเก่ง ได้ออกไปแข่งขันก็ไม่ต้องเสียค่าเรียน แต่พอชกชนะ ทางค่ายก็จะหักเงินรางวัลบางส่วน ที่เหลือก็ให้เด็กบ้าง ครั้งละประมาณ 400-500 บาท

รูปภาพนี้มี Alt แอตทริบิวต์เป็นค่าว่าง ชื่อไฟล์คือ 1480558.jpg

แม่มารู้เรื่องลูกถูกนายใหญ่ข่มขืนพร้อมกับ ยายของ ด.ญ.เอ และแม่ ด.ญ.บี วันที่ 31 ม.ค. 67 จึงตกลงพร้อมใจกันเข้าแจ้งความ ด.ญ.บี เล่าให้แม่ฟังว่า ถูกนายใหญ่ข่มขืนตั้งแต่เดือน มิ.ย. 66 ถูกกระทำเรื่อยมาเดือนละ 2-3 ครั้ง ที่บ้านพักของนายใหญ่ และที่ห้องพักนักมวยในค่ายมวยนายใหญ่ เวลาที่ไม่มีใครอยู่ และมีบางครั้งที่นายใหญ่พาเด็กไปทำกิจกรรมข้างนอก แล้วก็จะเรียก ด.ญ.บี ออกไปข้างนอกด้วย โดยบอกกับทุกคนว่า จะไปซื้อกับข้าวให้ ด.ญ.บี ไปช่วยถือของ ทุกคนในค่ายก็ไม่มีใครกล้าขัดขืนเพราะกลัวนายใหญ่ ล่าสุดลูกถูกกระทำวันที่ 28 ม.ค. 67

ที่ผ่านมาลูกไม่กล้าบอกแม่ เพราะเวลาที่นายใหญ่กระทำ บางครั้งก็จะเอาปืนมาวางให้เห็น และข่มขู่ว่า “ถ้าไปบอกใครกูจะยิงมึงให้ตาย” และลูกยังกลัวว่าแม่และยายที่พิการจะกลุ้มใจจึงไม่กล้าบอก แต่เด็กก็ทนไม่ไหวมาคุยกับเพื่อเด็กผู้หญิงในค่าย แล้วจึงตัดสินใจบอกเรื่องทั้งหมดกับแม่ในวันที่ไปรับลูกตอนเย็นวันที่ 31 ม.ค. 67

“แม่และยายอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมนายใหญ่โดยเร็ว เพราะเด็ก ๆ อยู่กันอย่างหวาดผวา และเกรงกลัวครอบครัวจะไม่ปลอดภัย เด็ก ๆ บอกว่า อยากให้ครูฝึกมวยหื่นคนนี้ติดคุกไปตลอดชีวิต กับสิ่งที่ทำให้มีตราบาป และไม่อยากให้ไปทำกับใครอีก แม่จึงมาขอให้มูลนิธิปวีณาฯ ช่วยติดตามคดี ให้ได้รับความเป็นธรรม และกลัวจะไม่ได้รับความปลอดภัย”

หลังรับเรื่อง วันที่ 27 ก.พ. 67 นางปวีณา หงสกุล ได้เดินทางพาแม่และยายไปประชุมกับ พ.ต.อ.พิเชษฐ์พงศ์ แจ้งค้ายคม ผกก.สภ.เมืองสมุทรสาคร เร่งรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับนายใหญ่ ครูฝึกมวยและเจ้าของค่ายมวยรายนี้โดยเร็ว และให้ความปลอดภัยกับ 2 ครอบครัวนี้

ด้านนางปวีณา กล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นภัยร้ายร้ายแรงกับเด็กและเยาวชน โดยจะประสานตำรวจดำเนินคดีจับกุมเจ้าของค่ายมวย-ครูฝึกมวย รายนี้อย่างรวดเร็ว มูลนิธิปวีณาฯ จะประสาน พม. จ.สมุทรสาคร ร่วมกันในการเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจของเด็กผู้เสียหายทั้ง 2 ครอบครัวนี้ มูลนิธิปวีณาฯ จะติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิด และจะประสานกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเพื่อให้เหยื่อ 2 ครอบครัวนี้ได้รับเงินเยียวยาผู้เสียหายทางคดี และหากมีเด็ก ๆ ผู้เสียหายรายใดต้องการความช่วยเหลือ ให้ติดต่อมายังมูลนิธิปวีณาฯ โทร. 1134 และ 08-1890-1355, 09-8478-8991, 08-1814-0244 มูลนิธิปวีณาฯ จะให้ความเป็นธรรมและให้การช่วยเหลือเต็มที่

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ช่วง 11.00 น. วันเดียวกันนี้ ตำรวจได้ออกหมายจับ นายใหญ่ เจ้าของค่ายมวยและครูฝึกมวยแล้ว ส่วนประเด็นเด็ก ๆ ถูกขู่ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายหากย้ายไปสังกัดอื่นนั้น ตำรวจแจ้งว่า ตามข้อกฎหมาย สัญญาสังกัดค่ายมวยและ พ.ร.บ.กีฬามวย 2542 มาตราที่ 31 ระบุว่า ผู้ฝึกสอนผู้ตัดสินและหัวหน้าค่ายมวยต้องไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสียหายหรือนำมาซึ่งความสูญเสียแก่วงการกีฬา ซึ่งหากขาดคุณสมบัติในข้อใดข้อหนึ่งให้นายทะเบียนเพิกถอนทะเบียนได้เลยได้ทันที กรณีนี้จึงถือว่าไม่มีการผิดสัญญาใด ๆ วันนี้จะได้ทำบันทึกประจำวันเรื่องดังกล่าว พร้อมประสานไปยัง การกีฬาจังหวัดสมุทรสาคร ดำเนินการในเรื่องดังกล่าว เพื่อปิดค่ายมวยของผู้ก่อเหตุ