ช่วงเย็นวันที่ 5 มี.ค. ที่สน.ลุมพินี ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ พา 4 กะเทยไทย ผู้เสียหายจากเหตุการณ์วิวาทกับกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.เทอดศักดิ์ มนัสชน สว.(สอบสวน) สน.ลุมพินี เพื่อแจ้งความดำเนินคดี กับกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์ใน ข้อหาชิงทรัพย์ และทำร้ายร่างกาย

ทนายไพศาล ระบุว่า ประเทศเราเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะให้มายั่วยุกันแบบนี้ ซึ่งเหตุการณ์ในลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นแล้วที่จังหวัดภูเก็ต และเป็นสิ่งที่คนไทยยอมรับไม่ได้ เพราะถือเป็นการหยามเกียรติ และการรวมกลุ่มของ LGBTQ เมื่อวานนี้ การแสดงให้เห็นว่าคนไทยยอมเรื่องนี้ไม่ได้กับเรื่องนี้

ทนายไพศาล ย้ำว่า กะเทยฟิลิปปินส์กลุ่มนี้จะยังเดินทางกลับประเทศไม่ได้ ต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาชิงทรัพย์ และฐานสนับสนุนให้ชิงทรัพย์ โทษจำคุกสูงสุด 10 ปี โดยวันนี้ตนจะขอพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวกับเรื่อง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง ที่ถือว่าเป็นบุคคลไม่พึงประสงค์ จะต้องติดแบล็คลิสต์ เข้าประเทศไม่ได้ ในเรื่องมีเหตุสงสัยว่าเข้าข่ายมาค้าประเวณีหรือไม่ ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ที่จะต้องเพิกถอนวีซ่า แต่ก่อนจะเพิกถอนวีซ่า หากศาลพิพากษาว่ามีความผิดจริง จะต้องติดคุกที่ไทยก่อน และค่อยออกไป จะได้จำประเทศไทยไปนานๆ

ส่วนบางรายที่เดินทางออกประเทศไปแล้ว ทนายไพศาล มองว่า ไม่เป็นไร ให้รอดูขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจะใช้วิธีการใด เพราะบางส่วนที่กลับไปแล้วเราก็ไม่รู้ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ แต่ทั้งหมดที่มีภาพถ่ายหรือพยานหลักฐานว่าเกี่ยวข้องในเหตุการณ์จะต้องมารับผิดชอบ ส่วนที่กลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์ถูกอ้างว่าถูกทำร้ายร่างกาย จะต้องไปรอดูว่าถูกทำร้ายร่างกายหรือสมัครใจวิวาท เพราะหากเข้าข่ายสมัครใจวิวาทพวกเขาก็จะไม่ใช่ผู้เสียหาย แต่ส่วนไหนที่พวกเขาถูกทำร้ายก็ให้ดำเนินคดีไป

ทนายไพศาลยังตั้งคำถามไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่า กลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์กว่า 20 คน ที่มาตั้งอนาเขตเข้ามาทำอะไรในประเทศไทย มาเที่ยวหรือมาประกอบอาชีพอะไร รวมถึงการขอวีซ่าขาดแล้วหรือไม่ หากสืบพบว่าวีซ่าหมดอายุ หรือเข้ามาประกอบอาชีพโดยไม่ได้รับอนุญาตก็จะต้องถูกดำเนินคดีเพิ่มเติม

ทนายไพศาล กล่าวต่ออีกว่า หากพวกเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมในประเทศประเทศไทย คนไทยยินดีที่จะปกป้องชาวต่างชาติ แต่หากว่าคุณมาทำแบบนี้ คนไทยก็ยอมไม่ได้ และจะได้รู้จักว่าประเทศไทยถึงรบก็ไม่ขลาด

ขณะที่ ไวน์ หนึ่งในผู้เสียหาย ได้เล่าย้อนเหตุการณ์ไปในวันที่เกิดเหตุว่า ตนเองไปกินข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในย่านนานา แล้วได้พบกับกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์ที่ร้าน แล้วหลังจากที่ตนกินข้าวเสร็จกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์ก็เดินตามจากที่ร้าน และตะโกนคำว่า “Lady boy thailand” จากนั้นก็มีการชูนิ้วกลางมาทางตน แต่เธอก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร เนื่องจากเห็นว่ากลุ่มคู่กรณีมากันหลาย 10 คน จากนั้นเธอก็ได้โทรตามเพื่อน หลังจากที่เพื่อนเดินทางมากลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์ก็ได้แยกย้ายไปแล้ว

หลังจากนั้นตนและกลุ่มเพื่อนได้เดินไปที่บริเวณจุดเกิดเหตุ และได้เจอกับกลุ่มคู่กรณียืนอยู่ ก็เลยเข้าไปสอบถามว่าทำไมถึงมาก่อกวน แต่หลังจากที่สอบถามไปกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์ก็ได้เข้ามารุมทำร้าย ยืนยันว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหากัน ซึ่งหลังจากที่กลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์ทำร้ายพวกตนเสร็จแล้วก็ได้มีการตะโกนด้วยคำหยาบคาย และโห่ร้องด้วยความดีใจ พร้อมด้วยถ้อยคำดูถูก และเหยียดหยามคนไทย

ผู้เสียหาย กล่าวต่ออีกว่า ตอนนี้ตนรู้สึกว่าได้รับความเป็นธรรม แต่ยังไม่มากเท่าที่ควร ตนอยากให้กลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์มาขอโทษ ยืนยันว่าถ้าหากมีการเจอหน้ากัน ตนเองไม่คิดจะเข้าไปทำร้ายกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์ เนื่องจากว่าตอนนี้มีสติแล้ว แต่ยืนยันว่าในเรื่องของคดีก็จะดำเนินการตามกฏหมาย

ขณะที่ เนิร์ส ผู้เสียหายอีกรายเปิดเผยว่า ตนเองเข้าพบตำรวจวันนี้เพื่อต้องการแจ้งความในข้อหาชิงทรัพย์ เนื่องจากกลุ่มกะเทยฟิลิปปินส์ หลังจากทำร้ายตนเสร็จก็มีการนำกระเป๋าซึ่งภายในมีเงินสดอยู่ประมาณ 2,000 บาท และมีทองคำมูลค่าประมาณ 10,000 บาท พร้อมด้วยเสื้อแจ็คเก็ตไปด้วย

ทั้งนี้ในระหว่างการเข้าแจ้งความได้มีกลุ่มเพื่อนกะเทยไทย เข้าให้กำลังใจที่ สน.ด้วย