เมื่อวันที่ 7 มี.ค. น.ส.ธัญมน สว่างวงศ์ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวในการเสวนาเนื่องใน วันสตรีสากล หัวข้อ “ขยายสิทธิลาคลอดเพิ่มคุณภาพชีวิตประชากร?” ว่า มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลร่วมกับศูนย์วิจัยเพื่อพัฒนาสังคมและธุรกิจ สำรวจความเห็นคนงานโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดโดยรอบ 1,437 คน ต่อการขยายวันลาและสิทธิการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรแรกเกิด พบว่า 69.4% ยังไม่มีแผนมีลูกใน 5 ปี ข้างหน้า เหตุผลเพราะกังวลค่าใช้จ่าย กลัวเงินไม่พอค่าคลอด ค่าเลี้ยงลูก 39.1% กลัวไม่มีเวลา ขาดคนช่วยเลี้ยง 24.9% และเมื่อถามถึงการใช้สิทธิลาคลอดตามกฎหมายพบว่า แรงงาน 78.2% ใช้สิทธิลาคลอด 90-98 วัน 14.5% ลาเพียง 30-59 วัน ที่ลาไม่ครบ ต้องรีบกลับมาทำงานเพราะต้องการมีรายได้ โอทีเพิ่ม กลัวถูกลดโบนัส ทั้งนี้เมื่อดูในส่วนสวัสดิการของรัฐพบว่า แรงงานหญิง 59.4% ไม่ได้รับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด 600 บาท แต่กว่า 96.6% ได้รับเงินจากเงินสงเคราะห์บุตรจากประกันสังคม 800 บาท

ขณะที่ปัญหาด้านสุขภาพหญิงหลังคลอด พบร่างกายอ่อนเพลีย พักผ่อนน้อย 47.9% สุขภาพอ่อนแอ เจ็บแผลคลอด 29.5% เครียด ซึมเศร้าหลังคลอด 14.1% ส่วนการให้นมลูก พบว่าสถานที่ทำงานหรือสภาพการทำงานไม่เอื้ออำนวย เช่น ไม่มีห้องปั๊มนม ไม่มีตู้แช่เก็บนม ต้องทำงานไม่มีเวลาปั๊มนม 50.3% ส่งผลให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวช่วง 6 เดือนแรกมีเพียง 11.5% ส่วนใหญ่จะดื่มนมแม่กับนมผง 64.1% สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์ ผลสำรวจพบว่า มีปากเสียงกันบ่อยขึ้น 15% สามี/แฟนไม่ช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่าย 7.7% สามี/แฟนนอกใจ 3.4% ส่วนช่วงหลังคลอดพบว่า สามี/แฟนมีส่วนร่วมในการเลี้ยงลูกบางครั้ง 40.6% ไม่ช่วยเลย 16.3% และช่วยนาน ๆ ครั้ง 14.5% เมื่อถามถึงสวัสดิการภาครัฐพบว่า 99.3% เห็นว่า ควรเพิ่มสวัสดิการค่าคลอดบุตรจาก 15,000 บาท เป็น 30,000 บาท และ 96.5% เห็นด้วยกับการขยายสิทธิวันลาคลอดเพิ่มจากเดิม 98 วัน เป็น 180 วัน และอีกกว่า 93.7% เห็นด้วยกับการให้สิทธิพ่อลาได้ 30 วันเพื่อช่วยเลี้ยงดูลูก

น.ส.ติมาพร เจริญสุข เลขาธิการกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง กล่าวว่า ปัจจุบันเราสามารถลาคลอดได้ 98 วัน เริ่มนับตั้งแต่วันลาเพื่อรอคลอด โดย 45 วัน จะได้เงินเดือนเต็มจากนายจ้าง ส่วนอีก 45 วันได้เงินครึ่งหนึ่งจากสำนักงานประกันสังคม ส่วนอีก 8 วันนั้นไม่ได้รับอะไรเลย ตอนแรกตนยังคิดว่าได้รับค่าจ้าง แต่กลับไม่ได้ ไม่มีใครจ่ายค่าจ้าง แถมยังถูกตัดสิทธิหลายอย่าง เช่น ตัดเกรดไม่ได้ปรับขึ้นเงินเดือน ประเมินการขึ้นตำแหน่ง ตัดโบนัส เป็นต้น ตนมองว่า ตามที่องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เด็กตั้งแต่คลอด ต้องให้นมแม่จนถึงอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานและสร้างสายใยรักแม่ลูก จึงอยากให้เห็นความสำคัญตรงนี้โดยมีการจ่ายเงินเดือน หรือค่าตอบแทนเต็มจำนวนทั้ง 90 วัน โดยเฉพาะในส่วนของประกันสังคมที่จ่ายเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น รวมถึงอีก 8 วันที่ให้สิทธิเพิ่มมาด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อวานถือว่ามีข่าวดีที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานที่เสนอโดยพรรคก้าวไกล ซึ่งมีสาระสำคัญส่วนหนึ่งให้ขยายสิทธิลาคลอดเพิ่มเป็น 180 วัน สอดคล้องกับผลสำรวจในวันนี้ และพวกเราก็ต้องติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป

ด้าน รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สิทธิลาคลอดที่เพิ่งได้รับนั้นถือเป็นการขยับได้ช้ามาก ไม่สอดรับกับสภาพความเปราะบาง และสภาพการทำงานของครอบครัวสมัยใหม่ ในขณะที่งานวิจัยในประเทศต่างๆ รวมถึงข้อเสนอจากภาคประชาชน และพรรคการเมืองนั้นไปไกลถึง 180 วันแล้ว ทั้งนี้ เราต้องพูดถึงการลาที่มีประสิทธิภาพ ทำให้แม่สามารถวางแผนการทำงาน การใช้ชีวิตได้ รวมถึงการให้สิทธิคู่สมรสในการลาด้วย ทั้งนี้เมื่อเทียบกับต่างประเทศที่เป็นโมเดลของการรักษาสิทธิของแม่ ของครอบครัวจะเห็นว่า 180 วันนั้นถือเป็นตัวเลขกลางๆ ค่อนไปทางต่ำด้วยซ้ำ เช่น กลุ่มประเทศรัฐสวัสดิการนั้นได้สิทธิลาคลอดได้ถึง 480 วัน ทั้งผู้ชายและผู้หญิง หากใช้วันลาไม่หมดยังสามารถเก็บไว้ใช้ได้จนลูกอายุ 9 ขวบ

“ตัวเลขที่เราดูมา ตอนนี้คนเกิดน้อยมาก ใน 1 แผนกในโรงงาน มี 50 คน อาจจะมีคนท้องสัก 1-2 คน ยิ่งในออฟฟิศก็ยิ่งน้อย แล้วตัวเลขที่มีการใช้สิทธิลาคลอดของผู้ประกันตนก็มีเพียง 2% เท่านั้น เพราะฉะนั้นด้านหนึ่งไม่ได้ทำให้นายจ้างล้มละลายหรือเสียผลประโยชน์ ที่เสียประโยชน์ถือว่าน้อยมาก อย่างที่จ่ายอยู 45 วัน ก็เป็นฐานเงินเดือนที่น้อยมาก ดังนั้นข้อเสนอให้ปรับเพิ่มสิทธิการลาคลอด 180 วันนั้นสามารถทำได้เลย เพื่อให้เด็กเติบโตดี มีโภชนาการที่ดี มีการศึกษาที่ดี เพื่อเขาจะได้ทำงานที่มีประสิทธิภาพที่ดีต่อไปในอนาคต ยิ่งคนเกิดน้อย เรายิ่งต้องดูแลเขาให้ดี” รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ กล่าว