เมื่อเวลา13.15น. เมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่สโมสรราชพฤกษ์ เขตหลักสี่ กทม. พรรคภูมิใจไทย(ภท.) ภายหลังการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย  นำคณะกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย ชุดใหม่ จำนวน 16 คน เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเป็นครั้งแรก 

โดยนายไชยชนก  ชิดชอบ  เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย  ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงกรณีในฐานะ แม่บ้านพรรคคนใหม่ มีแผนงานที่จะปรับปรุงพรรคอย่างไร ว่า การเปรียบเทียบตำแหน่งเลขาธิการรคพรรค เป็น “แม่บ้าน” รู้สึกว่าเป็นอะไรที่เหมาะสมมาก แต่ถ้าถามว่ายากหรือไม่ จะทำอย่างไร พรรคภูมิใจไทยไม่ได้มีแม่บ้านพรรคเพียงแค่คนเดียว แต่มีหลายคน ทุกคนร่วมช่วยกันมาโดยตลอด 

“ถ้าปรียบเหมือนพรรคเป็นบ้าน แล้วมีสมาชิกคนอื่นๆอีก ถึงบ้านจะรก หรือมีสิ่งต้องพัฒนา แต่ทุกคนช่วยกันเก็บ ช่วยกันปรับปรุง งานแม่บ้านพรรคก็ไม่มีอะไรต้องกังวล”นายไชยชนก กล่าใ

ด้านนายอนุทิน  ชาญวีรกูล  หัวหน้าพรรค  กล่าวเสริมว่า พรรคเราเติบโตขึ้นมาทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง จากการทำงานที่หนักหน่วงของสมาชิกพรรคภูมิใจไทย เราเป็นนักการเมือง โดยจิตวิญญาณ และสายเลือด ทุกคนมีความพึงพอใจ มีความสุขที่จะได้อยู่ในพื้นที่ของตัวเอง ทุกคนมาทำงานที่สภาฯพอถึงเวลาก็ลงพื้นที่ เพื่อรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชน นี่คือสไตล์การทำงานของพรรคภูมิใจไทย 

“เรามั่นใจว่าจะใช้ทั้งนโยบายของพรรคที่สัญญาให้กับพี่น้องประชาชนและการทำงานด้วยความเป็นมืออาชีพ จะร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลในการผลักดันทุกๆอย่าง ที่เป็นประโยชน์สูงสุดของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจว่าพรรคภูมิใจทำใจไทยพูดแล้วทำ ต้องเป็นพรรคปฏิบัติการ พูดแต่ในเรื่องจับต้องได้ก่อให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่สัญญาลมๆแล้งๆ พูดแล้วเกิดความรู้สึกที่ดีกับประชาชนแต่ทำไม่ได้ จึงทำให้พรรคภูมิใจไทยทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง โตขึ้นเรื่อยๆ” นายอนุทิน กล่าว

เมื่อถามว่า  ตำแหน่งเลขาฯพรรคเป็นบ้านใหญ่ตระกูล “ชิดชอบ” คนที่2 ถือว่าเป็นตำแหน่งที่มีความท้าทาย และมีความสำคัญ คุณพ่อ(นายเนวิน ชิดชอบ) ได้ให้คำแนะนำ เตรียมแนวทางอย่างไร รวมถึงการถูกสังคมมองว่าเป็นล็อกเก้าอี้นี้ไว้ให้ตระกูลชิดชอบ นายไชยชนก กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่า ในฐานะที่ตนเป็นลูกของพ่อ และหลานของปู่  (นายชัย  ชิดชอบ) จะมีโอกาส รวมถึงมีความคาดหวังจากสมาชิกพรรค และประชาชนที่จะมีตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในพรรค ก็คงปฏิเสธไม่ได้ ไม่ผิดที่คนจะมองอย่างไร ตนไม่ได้มีความคิดที่บวกและลบในเรื่องนี้ แต่ในเวลาเดียวกันจากที่ตนเป็นลูกพ่อ เป็นหลานปู่ ประสบการณ์ที่ตนได้รับ และเติบโตขึ้นมามีหลายอย่างที่ส่งเสริมให้ตนได้เรียนรู้ได้เร็วพอสมควร ในการเตรียมตัวเองให้เหมาะสมกับตำแหน่งเลขาธิการพรรคมากขึ้นเรื่อยๆ ในความเป็นทายาท ตนคิดว่ามีมุมบวกค่อนข้างมาก แต่ตนต้องพิสูจน์ตัวเอง ถือเป็นหน้าที่ของประชาชน และสมาชิกพรรคที่จะตัดสินจากผลงาน

เมื่อถามว่า จะมีส่วนตัดสินใจเรื่องต่างๆในพรรคด้วยหรือไม่ นายอนุทิน ตอบแทนว่าตำแหน่งเลขาฯพรรคเพิ่งรับตำแหน่งได้เพียงไม่ถึงชั่วโมง จะตัดสินใจอย่างนั้นอย่างนี้โดยที่หัวหน้าพรรคยังนั่งอยู่ข้างๆ เขาจะตอบอย่างไร เขาอาจจะเกรงใจ แต่ตนยืนยันว่ากรรมการบริหารพรรคทุกคนตัดสินใจได้ทุกคน เพราะทั้งเสนอแนะ ดำเนินงาน และร่วมกันตัดสินใจในการทำงานของพรรค 

ขณะที่นายไชยชนก กล่าวเสริมว่า การตั้งคำถามนี้ออกมาน่าจะเป็นเพราะ หลายคนไม่ได้อยู่ในกระบวนการทำงานของพรรคภูมิใจไทย ตั้งแต่ปัจจุบัน ไปถึงอนาคตข้างหน้ากรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ทุกๆการเปลี่ยนแปลงและตัดสินใจล้วนผ่านกระบวนการปรึกษาหารือกับสส.สมัยเก่า และสมัยใหม่ กรรมการบริหารพรรคชุดเก่า-ใหม่ ไม่ได้เกิดจากพวกตนคิดกันเอง เราทำงานเป็นทีมจริงๆ ทุกคนไม่มีใครทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว 

“ความหมายของเจนเก่า และเจนใหม่ ไม่ได้หมายถึงเรื่องอายุ แต่หมายถึงกระบวนการการคิด วิธีคิด และการทำงานร่วมกันที่สามารถปรับเปลี่ยนให้ทันการเปลี่ยนแปลงของเวลา เป็นการหลอมหลวมของพรรคภูมิใจไทย” นายไชยชนก กล่าว.