สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 17 เม.ย. ว่า นายริชาร์ด มาร์เลส รมว.กลาโหมออสเตรเลีย เปิดตัวเอกสาร “ยุทธศาสตร์กลาโหมแห่งชาติ” ฉบับแรกของประเทศ มีความยาว 80 หน้า และนำเสนอเนื้อหาส่วนใหญ่เน้นไปที่ความมั่นคงในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก พร้อมทั้งเปิดเผยร่างแผนงบประมาณใช้จ่ายด้านกลาโหม เพื่อเป็นการยกเครื่องกองทัพครั้งใหญ่ “ให้มีความครอบคลุม” กับพลวัตทางความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว


ขณะเดียวกัน รายงานระบุ “คำเตือน” ว่าจีนใช้ “กลยุทธ์บังคับขู่เข็ญ” เพื่อนำไปสู่ “การบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์” และออสเตรเลียเป็นประเทศที่ตอนนี้ถือว่า ตั้งอยู่บน “สมรภูมิยุทธศาสตร์” เนื่องจากอยู่ในจุดที่มีความสำคัญทางการค้าและการขนส่ง ทั้งทางทะเลและทางอากาศ


อย่างไรก็ตาม การที่ออสเตรเลียเป็นประเทศเกาะขนาดใหญ่ อาจเป็นเงื่อนไขว่า การบุกรุกออสเตรเลียน่าจะเกิดขึ้นได้ยากในทุกสถานการณ์ แต่หากเกิดขึ้น ต้องยอมรับว่า ออสเตรเลียจะได้รับความเสียหายใหญ่หลวง และศัตรูสามารถปฏิบัติการโจมตีได้ โดยไม่จำเป็นต้องยกพลขึ้นบกที่ออสเตรเลีย


ด้วยเหตุนี้ เนื้อหาของแผนยุทธศาสตร์จึงนำเสนอเกี่ยวกับการพัฒนากองกำลังยับยั้ง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของออสเตรเลียซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้ที่สุด โดยมีการเสนอโครงการเรือดำน้ำล่องหนขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์ การเพิ่มจำนวนขีปนาวุธในคลังแสง และการขยายจำนวนกองเรือรบผิวน้ำ


ทั้งนี้ การลงทุนเพิ่มเติมเท่ากับว่า สัดส่วนการใช้จ่ายงบประมาณกลาโหมของออสเตรเลีย จะเพิ่มจากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เป็น 2.4% ภายในช่วง 1 ทศวรรษข้างหน้า


กระนั้น บรรดานักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า จะยิ่งเป็นการกระตุ้นการแข่งขันสะสมอาวุธในภูมิภาคแห่งนี้ เนื่องจากจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ล้วนยกระดับการลงทุนด้านกลาโหมเช่นกัน


อีกด้านหนึ่ง นายหลิน เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน เรียกร้องออสเตรเลีย “หยุดกล่าวหาอย่างไม่สมเหตุสมผล” และเน้นย้ำว่า “จีนไม่ได้เป็นภัยคุกคามของประเทศใดบนโลก”.

เครดิตภาพ : AFP