เมื่อวันที่ 20 เม.ย. ที่ โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เป็นประธานประชุมสามัญครั้งที่ 1/2567 พรรคชาติไทยพัฒนา โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย กรรมการบริหารพรรค ผู้แทนสาขาพรรค ตัวแทนพรรคประจำจังหวัด และสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนาทุกคน ทั้งนี้ การประชุมใหญ่สามัญนี้ จัดขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 43 และมาตรา 61 ที่กำหนดให้หัวหน้าพรรคต้องจัดทำรายงานการดำเนินกิจการของพรรคการเมืองในรอบปีปฏิทินที่ผ่านมา และงบการเงินที่ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตตรวจสอบและรับรองแล้วเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ของพรรคการเมือง เพื่ออนุมัติภายในเดือน เม.ย. ของทุกปี โดยพรรคชาติไทยพัฒนา ไม่มีการปรับโครงสร้างแต่อย่างใด ที่ประชุมจะมีการประชุมสามัญตามระเบียบวาระ ได้แก่ เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ, เรื่องรับรองรายงานการประชุมใหญ่สามัญครั้งที่ 2/2566 ของพรรคชาติไทยพัฒนา เมื่อวันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา

สำหรับวาระเรื่องเพื่อทราบ ได้แก่ การแต่งตั้งผู้สอบบัญชีประจำปี 2567, แผนหรือโครงการที่จะดำเนินกิจกรรมในปี 2568 ตามมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560, แผนงานและโครงการที่ได้รับการอุดหนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ประจำปี พ.ศ. 2567 ส่วนวาระเรื่องพิจารณา จะมีการพิจารณาให้ความเห็นชอบงบการเงินประจำปี 2566 มาตรา 61 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560, พิจารณาให้ความเห็นชอบรายงานการดำเนินกิจการของพรรคในรอบปี 2566 ตามมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560

นายวราวุธ กล่าวในการเปิดประชุมตอนหนึ่งว่า ในช่วง 7 เดือนของการทำงานในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล พรรคชาติไทยพัฒนาได้ดูแลการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) แก้ปัญหาสังคม กลุ่มเปราะบาง โดยทางพรรครับฟัง มองวิกฤติเป็นโอกาส และนำสู่การแก้ปัญหา ดังนี้ 1. ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวมากพบว่า สาเหตุเกิดจากการไม่มีงาน ไม่มีรายได้ ไม่มีเงิน ทำให้เกิดความเครียด นำสู่การดื่มเครื่องด่มแอลกอฮอล์ เล่นการพนัน และพัวพันยากสเพติด ทำให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น ท้ายที่สุดก็ก่อปัญหาให้สังคม

2.ปัญหาวิกฤติประชากร ได้เข้าไปปรับแนวคิด สร้างวิสัยทัศน์เพื่อนข้าราชการ พม. จากการทำงานแบบตั้งรับมาเป็นการทำงานเชิงรุกแก้ปัญหาวิกฤติประชากร ซึ่งปัจจุบันเราเข้าสู่สังคมสูงอายุสมบูรณ์แบบ มีผู้สูงอายุ อายุเกิน 60 ปี กว่า 13 ล้านคน คิดเป็น 20% ของคนทั้งประเทศ ส่วนตัวก็อีก 9 ปี ก็จะเข้าสู่สังคมสูงวัยเช่นกัน อนาคตยิ่งจะมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เด็กเกิดใหม่ก็น้อยลงทุกปี เกิดไม่ถึงปีละ 5 แสนคน ส่วนอัตราการเสียชีวิตของประชากรก็เพิ่มขึ้น อัตราเกิดไม่สัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิต โดยช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประชากรไทยหายไป 5 แสนกว่าคน หากไม่เร่งแก้ปัญหา ประชากรที่เรามี 66 ล้านคน จะเหลือเพียง 31-32 ล้านคน ใน 30 ปีข้างหน้า ส่งผลให้จำนวนวัยแรงงานที่ทำงานเสียภาษีให้ประเทศลดลง แบกภาระการดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น จากปัจจุบันวัยแรงงาน 6 คน ดูแลผู้สูงอายุ 1 คน อนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า แรงงาน 2 คน ต้องดูแลผู้สูงอายุ 1 คน คน Gen Y Gen Ultra จะกลายเป็น เดอะแบก อย่างไรก็ตาม จากการทำงานของ พม. ภายใต้การประสานงานของชาติไทยพัฒนา ได้สัมมนาทำ workshop และออกสมุดปกขาวเรื่องแนวทางการพัฒนาความมั่นคงของครอบครัวไทย เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของมนุษย์ วิธีแก้ไขปัญหาเด็กเกิดน้อย ปัญหาผู้สูงอายุมีจำนวนมาก ซึ่งตนและข้าราชการ พม. จะไปประชุมและนำเสนอในที่ประชุมสหประชาชน ที่นิวยอร์กในสัปดาห์หน้าต่อไป  

“ใครบอกว่าพรรคชาติไทยพัฒนาเป็นพรรคบ้านนอก ไม่จริง เราจะโกอินเตอร์ วันนี้เราทำงานตั้งแต่รากหญ้าไปจนถึงระดับโลก เราไม่แพ้ใคร” นายวราวุธ กล่าว

ทั้งนี้ที่ผ่านมา มีการระดมสนองระดมความคิดของทุกหน่วยงานทบวงกรม ออกนโยบาย 5×5 ฝ่าวิกฤติประชากร 1. เสริมพลังวัยทำงาน ให้สามารถสร้างตัวเองได้ มีทายาทสืบสกุล และเตรียมตัวเข้าสู่สถานะผู้สูงอายุ 2. แก้ปัญหาเด็กเกิดน้อย ต่ำกว่า 5 แสนคน จึงต้องทำให้เด็กกลุ่มมีมีคุณภาพ ได้รับการดูแล ทั้งกาย ใจ สังคม 3.พัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ ดึงพลังกลับมาร่วมพัฒนาประเทศ 4.การเสริมศักยภาพคนพิการ เป็นผลิตภัณฑ์ที่สำคัญของประเทศ และ 5. การสร้างสังคม ที่ให้คนรุ่นใหม่สามารถมีครอบครัวได้ ซึ่งการผลิตประชากรไม่ใช่แค่การปั๊มลูกออกมาแล้วก็จบ ซึ่งจริงๆ คนหนุ่มสาวไทยไม่ได้มีปัญหาเรื่องการผลิตประชากร ขั้นตอนการผลิตง่ายๆ ชอบผลิต แต่ปัญหาคือคนรุ่นใหม่ ไม่อยากมีครอบครัวไม่อยากมีลูก ดังนั้นต้องมีมาตรการสนับสนุนให้เขาอยากมีลูก หากแก้ไขได้ก็เหมือนเริ่ม ก.ไก่ ข.ไข่ และแก้ปัญหาผู้สูงอายุซึ่งเป็นปลายทาง หรือ ฮ.นกฮูก ได้ เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ ต้องทำรอบด้าน จะอาศัยแค่สวัสดิการรัฐอย่างเดียวไม่ได้ ทั้งนี้ พม. ได้ผลักดันกฎหมาย 2 ฉบับเข้าสู่สภา ซึ่งตนมั่นใจว่าจะเสร็จในปลายปีนี้ คือ 1. ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว 2.ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก

นายวราวุธ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมี สส. พรรค ที่ทำงานภายใต้กรรมาธิการ ในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบและส่งเรื่องร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ สส. ทุกคนทำงานอย่างต่อเนื่อง มีส่วนสำคัญในการลงคะแนนร่างกฎหมายที่สำคัญต่างๆ อาทิ ร่างกฎหมายอากาศสะอาด และร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ตนเชื่อมั่นว่า สส. และสมาชิกพรรคทุกคนจะทำงานอย่างเต็มที่เพื่อประชาชนและทำอย่างต่อเนื่อง หวังว่าทุกการขับเคลื่อนจะได้รับการสนับสนุนกำลังกายและกำลังใจจากสมาชิกพรรคทั่วประเทศ.