สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ว่ามหาวิทยาลัยนอร์ทอีสเทิร์น ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาเอกชนเก่าแก่ที่สุดของสหรัฐ ตั้งอยู่ที่เมืองบอสตัน ในรัฐแมสซาชูเซตส์ รายงานการให้ตำรวจเข้ามากระชับพื้นที่ภายในมหาวิทยาลัย ซึ่งมีผู้ประท้วงปักหลักชุมนุมต่อต้านอิสราเอล และสนับสนุนปาเลสไตน์ โดยมีการจับกุมผู้ประท้วงราว 100 คน
ขณะที่ตำรวจจับกุมผู้ประท้วงอย่างน้อย 69 คน ฐานบุกรุกและ “ตั้งค่ายพักแรมโดยไม่ได้รับอนุญาต” ภายในมหาวิทยาลัยแอริโซนาสเตต ที่เมืองเทมปี ในรัฐแอริโซนา โดยมหาวิทยาลัยแอริโซนาสเตตออกแถลงการณ์ ว่า “ผู้ประท้วงส่วนใหญ่” ไม่ใช่นักศึกษา คณาจารย์ และบุคลากรของสถาบัน และการเพิกเฉยต่อการเรียกร้องของมหาวิทยาลัย ซึ่งขอให้ยุติการชุมนุม ส่งผลให้ต้องมีการใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด ให้เจ้าหน้าที่เข้ามาจัดการ
ส่วนบรรยากาศที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในนครนิวยอร์ก สงบขึ้นมาก หลังมีการจับกุมผู้ประท้วงไปมากกว่า 100 คน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
Protests in support of Palestine are growing in momentum, while also being accused of threatening the safety of students at US university campuses. pic.twitter.com/n23HJlqaFl
— Al Jazeera English (@AJEnglish) April 24, 2024
ด้านนายแอนโทนี บลิงเคน รมว.กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวถึงการประท้วงสนับสนุนปาเลสไตน์ ตามมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วประเทศ “เป็นเสรีภาพของการแสดงออกตามหลักประชาธิปไตย” อย่างไรก็ตาม บลิงเคนวิจารณ์ การที่บรรดาผู้ประท้วงไม่กล่าวถึงกลุ่มฮามาส ทั้งที่การกระทำของอีกฝ่ายเป็นชนวนเหตุ ให้สงครามในฉนวนกาซาปะทุ เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 และยืดเยื้อจนถึงปัจจุบัน
Anti-Semitism on campuses in the United States is reminiscent of what happened in German universities in the 1930s.
— Benjamin Netanyahu – בנימין נתניהו (@netanyahu) April 24, 2024
The world cannot stand idly by. pic.twitter.com/oHlwig1vCl
อีกด้านหนึ่ง นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล กล่าวถึงการประท้วงตามมหาวิทยาลัยหลายแห่งในสหรัฐ ว่า “เลวร้ายมาก” ที่สถาบันอุดมศึกษาแถวหน้าของสหรัฐพร้อมใจกันจุดกระแสเชิงลบ ให้มีการทำลายล้างอิสราเอล ทำร้ายนักศึกษาชาวยิว และสร้างความเสียหายให้กับชุมชนชาวยิว รัฐบาลอิสราเอลหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าเรื่องเหล่านี้ “จะยุติทันที” และขอให้บรรดาผู้บริหารของสถาบันอุดมศึกษาทุกแห่งในสหรัฐ เร่งควบคุมสถานการณ์ท “ด้วยความจริงจังมากกว่านี้”.
เครดิตภาพ : AFP