อุณหภูมิที่สูงขึ้นจนหลายพื้นที่ของประเทศไทยอุณหภูมิทะยานขึ้น 44 องศาเซลเซียส เช่นเดียวกับน้ำทะเลมีอุณหภูมิที่สูง จนส่งผลต่อปะการังฟอกขาว ข้อมูลจากเฟซบุ๊ก อ.ธรณ์ Thon Thamrongnawasawat เปิดภาพผลสำรวจ แนวปะการัง จ.ตราด 8 แห่ง พื้นที่หมู่เกาะหมาก 6 แห่ง-เกาะผี เกาะขาม เกาะกระดาด เกาะหมากตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และทางใต้หมู่เกาะกูด 2 แห่ง–เกาะแรดและแนวปะการังกลางน้ำ พบว่าสถานการณ์ฟอกขาวยังไม่จบ ทะเลยังร้อนอยู่ โดยระบุเป็นความเสี่ยง 3 ระดับเสี่ยงมาก-เป็นแนวปะการังติดฝั่ง เช่น รอบๆ เกาะหมาก เกาะกระดาด เกาะขามบริเวณนี้น้ำตื้น ไหลเวียนไม่ค่อยดี น้ำร้อนและโดนแดดเยอะ ยังเป็นเขตฟอกขาวซ้ำซ้อน ส่วนหัวตายตามที่เคยเล่าไว้ ปะการังมีชีวิตพบเฉพาะด้านข้างและกำลังฟอกขาวตรงขอบแนวน้ำลึกหน่อย ปะการังมีชีวิตทั้งก้อน แต่ด้วยน้ำที่ร้อนจัด ทำให้ส่วนใหญ่เปลี่ยนสี และบางส่วนเริ่มฟอกจนเป็นสีขาวทั้งก้อน

ส่วนปะการังเสี่ยงปานกลาง-เกาะแรด อยู่ลึกกว่า น้ำไหลไปมาได้ แต่มีปะการังเขากวางที่ไม่ค่อยทนต่อการฟอกขาว อีกทั้งยังมีการท่องเที่ยว (จะเล่าให้ฟังภายหลังครับ) ปะการังเสี่ยงน้อย-เกาะผี น้ำไหลเวียนดี น้ำลึก ฟอกขาวแค่บางชนิด การท่องเที่ยวควบคุมดี อย่างไรก็ตาม ปะการังทนมาจนใกล้ถึงลิมิต หากน้ำร้อนต่อไปอีก 1-3 สัปดาห์ เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก พวกเสี่ยงสูงจะรอดยากขึ้น พวกเสี่ยงปานกลางอาจมีปะการังบางกลุ่มตาย ในขณะที่เสี่ยงน้อยยังพอไหว แต่สภาพจะโทรมลงกว่านี้ นั่นคือปัญหาของสถานการณ์ฟอกขาว ทุกอย่างเปลี่ยนเร็วมาก แต่การช่วยกันรายงานให้เครือข่ายฟอกขาวทราบเป็น % เป็นเรื่องดี เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน

ทั้งนี้ข้อมูลจากเว็บไซต์ https://thailandcoralbleaching.dmcr.go.th/ ให้ข้อมูลว่าปะการังฟอกขาว เป็นสภาวะที่ปะการังสูญเสียสาหร่ายเซลล์เดียวที่อาศัยอยู่ภายในเนื้อเยื่อ ทำให้ปะการังอ่อนแอเพราะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอและปะการังอาจตายไปในที่สุดถ้าหากไม่สามารถทนต่อสภาวะนี้ได้ สาเหตุที่ทำให้ปะการังฟอกขาวเป็นพื้นที่กว้างครอบคลุมพื้นที่น่านน้ำในระดับประเทศหรือครอบคลุมอาณาเขตกว้างในระดับภูมิภาคได้คือ อุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นอย่างผิดปกติ ซึ่งในน่านน้ำไทย เคยได้รับผลกระทบเช่นนี้เมื่อปี พ.ศ. 2534 2538 2541 2546 2548 และ 2550 โดยปี พ.ศ. 2534 และ 2538 แนวปะการังทางฝั่งทะเลอันดามันได้รับความเสียหายมาก พบว่าปะการังตายประมาณ 10-20% ส่วนในปี พ.ศ. 2541 ก่อให้เกิดความเสียหายมากทางฝั่งอ่าวไทย แต่ปีต่อๆ มาเกิดทางฝั่งอันดามันแต่ไม่พบความเสียหายมากนัก เพราะปะการังสามารถฟื้นตัวกลับคืนสู่สภาพปกติได้ เนื่องจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งมาเร็วในตอนต้นฤดูช่วยบรรเทาทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลลดลงได้

สำหรับในปี พ.ศ. 2553 นับเป็นปีที่แนวปะการังเสียหายมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ อุณหภูมิน้ำทะเลจากปกติ 29 องศาเซลเซียสได้เริ่มสูงขึ้นเป็น 30 องศาเซลเซียสตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 สามสัปดาห์ต่อมาปะการังได้เริ่มฟอกขาวแผ่พื้นที่เป็นวงกว้างคลุมทะเลทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย จากการสำรวจโดยหลายหน่วยงาน พบว่าในแต่ละพื้นที่มีปะการังฟอกขาวมากน้อยต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าบริเวณนั้นมีปะการังชนิดใดเป็นพวกที่ขึ้นครอบคลุมพื้นที่มาก (dominant group) หากพวกที่ขึ้นคลุมพื้นที่มากเป็นพวกที่ไวต่อการฟอกขาว พื้นที่นั้นก็จะได้รับผลกระทบมาก อย่างเช่น แนวปะการังที่มีปะการังเขากวาง (Acropora spp.) ขึ้นเป็นดงกว้างใหญ่ พื้นที่นั้นก็จะได้รับผลกระทบมาก นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับว่าชายฝั่งที่แนวปะการังขึ้นอยู่นั้นได้รับอิทธิพลจากคลื่นลมมากน้อยเพียงไรด้วย ด้านที่รับแรงจากคลื่นลมจะเป็นด้านที่อุณหภูมิไม่สูงอยู่ตลอดเวลา (เช่น ด้านตะวันตกของเกาะต่างๆ ทางฝั่งทะเลอันดามัน) ปะการังจึงฟอกขาวน้อยกว่าด้านอื่น เมื่อประมาณโดยภาพรวมทั่วประเทศแล้ว พบว่าปะการังแต่ละแห่งฟอกขาวมากถึง 30-95% ปะการังทุกชนิดฟอกขาวเกือบทั้งหมด ยกเว้นเพียง 3-4 ชนิดเท่านั้นที่ยังคงต้านอยู่ได้ เช่น ปะการังสีน้ำเงิน (Heliopora coerulea) ปะการังลายดอกไม้ (Pavona decussata) และปะการังดาวใหญ่ (Diploastrea heliopora)