ทำเอาหลายคนสนใจหนักมากทันที หลังล่าสุดหนุ่มหล่อ เอส กันตพงศ์ พระเอกและพิธีกรมากความสามารถที่วันนี้จะมาเปิดใจหลังหมดสติหยุดหายใจกว่า 40 นาที ความทรงจำเหลือ 20% จำภรรยาและลูกไม่ได้ พร้อมเผยวิธีฟื้นความทรงจำเป็นเด็กแรกเกิดในร่างผู้ใหญ่และติดเครื่องกระตุ้นหัวใจตลอดเวลา พร้อมเผยเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ หลับไป 8 วันแต่มีคนเรียกให้กลับ ในรายการคุยแซ่บShow แบบจัดเต็ม

เอส เผยว่า “หลายเรื่องที่ทุกคนเป็นห่วงหลักๆ คือสุขภาพประจำวันจะเป็นยังไง ร่างกายไม่มีปัญหาเลย ถ้าพูดเรื่องสมองความจำในอดีตที่ตอนแรกทุกคนเป็นห่วง แต่สุดท้ายเข้าใจว่ามันไม่มีความหมายเลยที่อยากจะไปรื้อความจำในอดีตทำไม ถ้าสมองของผมตอนนี้โอเคแล้ว ตอนนี้การทำงานของสมองในปัจจุบันเกือบ 100% แล้ว อะไรที่จำไม่ได้ในเรื่องของอดีตซึ่งควรเป็นเรื่องที่จำได้ รหัสมือถือ บัญชีธนาคาร รหัสหุ้นต่างๆ จำไม่ได้เลย ทุกวันนี้ก็ยังจำไม่ได้ จริงๆ ผมเป็นคนเก่งเลข ชอบคณิตศาสตร์ คือผมเป็นคนไม่โลภ ไม่ได้ต้องการมีเงิน อาจจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่ถ้าเป็นความฝันอย่างอื่น การช่วยเหลือคน การทำเพื่อสังคมอันนี้จำได้ แต่ว่าเรื่องของตัวเอง เรื่องของเงินตัวเองจำไม่ได้ เรื่องแก้ไข แก้ไม่ได้เลยครับ ผมพยายามหลายวิธี มือถือก็ไปคุยกับบริษัท เขาบอกว่าสามารถเปิดให้ได้แต่เขาต้องลบข้อมูลทุกอย่างทิ้งหมดเลย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์ในการที่จะไปทำ”

“ตอนหยุดหายใจคือ 40 นาที คุณหมอท่านแรกช่วยปั๊มคนเดียว 20 นาที ไปส่งโรงพยาบาลช่วยปั๊มอีก 20 นาที ก็ประมาณ 40 นาที จนถึงตอนนี้สาเหตุยังไม่มีใครทราบว่าเป็นอะไรยังไง เกิดขึ้นได้ยังไง คุณหมอก็ยังสันนิษฐานไม่ได้ การปั๊มหัวใจ บางคนบอกเหมือนคนตายแล้วเกิดใหม่ มันพังทั้งหมด กล้ามที่เคยมีหายหมด ทุกอย่างหายหมด พังหมด คุณแม่บอกว่ามีฟอกไต แต่ผมจำไม่ได้เลย ตอนหลับไปที่โรงพยาบาล 8 วันนั้นฟื้นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้ ต้องอีกซักเดือนกว่า สองเดือนถึงจะคุยกับใครรู้เรื่อง นอกนั้นก็คุยไม่รู้เรื่อง คุยแต่เรื่องจะไปทำงาน ที่ญาติๆ เล่าให้ฟัง แล้วก็พูดแต่ภาษาอังกฤษ อาจจะเป็นเพราะว่าผมอยู่กับภรรยาแล้วพูดแต่ภาษาอังกฤษกันเป็นหลัก ฟื้นมาพูดแต่ภาษาอังกฤษ แรกๆ ที่คุณแม่บอกคือซักพักแรกๆ อาจจะยังจำใครไม่ได้เลย แต่แป๊บเดียวจำคนใกล้ชิดได้มากกว่า คือคุณพ่อคุณแม่ ญาติๆ หลังจากฟื้นมาจำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ว่าถึงจะเริ่มมาจำว่านี่คือคนใกล้ตัว จำคนใกล้ตัวได้ก่อน”

เอส เล่าต่อว่า “กับภรรยาตอนตื่นขึ้นมา เห็นที่คุณแม่เล่าให้ฟังก็บอกว่าซักพักเหมือนกัน แต่ไม่แน่ใจเพราะตอนนั้นผมพูดไม่ได้ ก็เลยไม่แน่ใจว่าจำได้เลยตั้งแต่แรกหรือเปล่า แต่ที่ถามๆ ก็คือจะจำได้แค่นี้ คุณพ่อ คุณแม่ ภรรยา ลูกสาว ครอบครัว คนใกล้ตัว เราเหมือนเด็กเพิ่งเกิดใหม่ อาบน้ำ แปรงฟัน ทานอาหาร สอนเหมือนเด็กเพิ่งเกิดจริงๆ ถ้าปวดปัสสาวะเข้าห้องน้ำทำแบบนี้นะ ตอนนั้นแอบรู้สึกหงุดหงิดเหมือนกัน เพราะผมจำได้ว่าผมเป็นผู้ใหญ่ แล้วญาติๆ ผมเป็นผู้หญิง ผมกำลังจะอาบน้ำ ทำไมเข้ามาอย่างนี้ พอออกจากโรงพยาบาล ญาติๆ ให้ดูคลิปวิดีโอ ขอบคุณมากที่เข้าไปสอน ควรแล้วแหละ เพราะเหมือนเด็กจริงๆ ไม่ใช่ว่าสอนแล้วจำได้เลย เหมือนเด็ก วันนี้สอน พรุ่งนี้ก็ต้องสอน วันมะรืนสอน สอนไปเรื่อยๆ ก็ยังจำไม่ได้ เรื่องฝึกกี่เดือน เอาจริงๆ น่าจะ 8-9 เดือน อยู่โรงพยาบาลก็ใช่ว่าจะปกติ ฝังเรียบร้อยคุณหมอให้ออกมาได้ แต่เหตุผลที่พร้อมมาออกรายการแล้ว พร้อมพูดคุยกับพี่ๆ ทุกคนแล้ว เพราะผมเห็นตัวเองจริงๆ ว่าไม่เหมือนเดิม โชคดีเรายังมีคลิปแล้วได้เทียบตัวเอง อดีตของตัวเองกับปัจจุบัน ปัจจุบันทำไมพูดจาแบบนี้ ทำไมอารมณ์เป็นแบบนี้ อดีตไม่เป็นแบบนี้ ผมเหมือนเด็กเลยครับ พอมานั่งเทียบน่าจะซักประมาณ 6-7 เดือน เกือบ 8 เดือน ที่รู้สึกว่าใกล้เคียงเดิม”

“เรื่องค่าใช้จ่าย มหาศาล หลายล้านมาก แค่เครื่องอันนี้อันเดียวก็ล้านกว่าแล้ว ไม่รวมพวกค่ารักษา ทั้งหมดก็หลายล้านน่าจะ 5-6 ล้านก็มีผู้ใหญ่ช่วยด้วย เป็นผู้ใหญ่ทางช่อง แต่ที่เราออกกันเองก็เยอะมาก ผมมีความคิดอยากบวช มันเป็นความชอบของผมอยู่แล้ว ตั้งแต่เด็ก ผมอยากปฏิบัติธรรมเป็นหลักมากกว่า พอออกมาจากโรงพยาบาลเรามารู้ว่าญาติคนนี้บนไว้แบบนี้ ญาติคนนี้ก็บนไว้แบบนี้ ผมจะแก้บนให้เลย แต่เขาบอกเดี๋ยวก่อน อย่างบนเรื่องบวช กลัวผมบวชไม่สึก ผมเป็นคนไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ไม่เชื่อเรื่องความเชื่อ เชื่อเฉพาะเรื่องที่พระพุทธองค์สอนเท่านั้น อะไรที่พระพุทธองค์ไม่สอน ผมจะไม่เชื่อ  แต่ไม่ได้บอกว่าคนที่ไม่เชื่อผิดนะ อันนี้เป็นความเชื่อของผม ผมศึกษาว่าพระองค์สอนอะไร ถามว่าภรรยาว่ายังไง เคยลองคุยกันแล้วตั้งแต่เมื่อก่อนเลย เขาบอกมันคือความฝันของยู อะไรที่เป็นความฝันของยู เขาเห็นด้วยหมดเลย กับผมเองเรื่องคนมาเรียกให้ฟื้น อันนี้ต้องบอกว่าผมเชื่อว่าแค่ฝัน ผมเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องจริง ก็คือผู้ชาย ถ้าให้ดูด้วยตานะ แต่ไม่รู้จริงๆ ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง ไม่ใช่ร่างกายหรือคนที่เราเคยเห็นบนโลกนี้ อธิบายไม่ได้จริงๆ ก็ชุดสีดำทั้งหมด ผมพยายามวิ่ง ผมแฮปปี้อยู่ สถานที่ผมอธิบายไม่ได้ว่ามันคือที่ไหนเหมือนกัน แต่เขามาตามว่ากลับเถอะ ผมก็วิ่งๆ แต่สุดท้ายเขาก็มาดึง แต่ผมเชื่อว่าฝันนะ แต่ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นอะไรยังไง ผมจำได้แต่อันนี้อันเดียว”

กับแฟนๆ ทุกคน ผมรู้สึกว่าแค่คำขอบคุณไม่พอ ไม่ใช่แค่จากแฟนคลับ จากผู้ใหญ่ทุกท่าน คุณหมอวิศรุตที่มาช่วยผม แล้วก็ทุกคนเลย ผมรู้สึกว่าถ้าอยากจะพูดกับพวกเขาก็คงจะพูดเหมือนเดิมคือ ขอบคุณไม่พอ ขอบอกว่าสิ่งที่ผมเคยตั้งใจไว้ในชีวิตผม ความฝันของผม ผมจะทำให้อย่างเต็มที่ เพราะผมเชื่อว่าความฝันนี้จะช่วยคนอื่นได้เหมือนกัน ก็อยากจะบอกว่าจะทำได้อย่างเต็มที่ ขอบคุณมากๆ ในความรัก ความเมตตานะครับ”